“ปลายฝน” ชื่อเธอไพเราะ แต่เรื่องราวเธอชวนเศร้า
เธอชื่อปลายฝน แต่เธอจากไปในวันต้นฤดูฝน ที่ฝนตกตั้งแต่ช่วงเที่ยงของวันที่ 29 เมษายน สองวันก่อน “วันกรรมกรสากล”
ผู้หญิงชนชั้นแรงงานปลิดชีวิตตัวเองหลังสะท้อนถึงความทุกข์ทนในชีวิตที่เธอต้องเผชิญ วัยที่ควรมีความหวังในชีวิต แต่เหมือนเธอแบกโลกทั้งใบ เธอทำงานหนักเป็นพนักงานรายวัน คนรักเธอไม่ต่างกัน เป็นแรงงานรายวัน เธอถูกเอาเปรียบด้วยเรื่องปกติในสังคมไทยอย่างน่าเศร้า และลูกของเธอ คงมีชีวิตและโอกาสไม่ต่างจากพ่อแม่
เพลง “ไกล” ที่เธอบรรยาย คือภาพสะท้อนความฉ้อฉลของสังคม เราต้องสิ้นหวังขนาดไหนถึงปลิดชีวิตตัวเอง
เมื่อใดมีการเรียกร้องเรื่องความเป็นธรรม รัฐสวัสดิการถ้วนหน้า หรือกฎหมายแรงงานที่เป็นธรรม มักมีคำอธิบายว่าสิ่งเหล่านี้กำลังทำลายความสมดุลของ “กลไกตลาด” และจะทำลายผลประโยชน์ของกลุ่มนายทุน ที่สุดท้ายการทำลายผลประโยชน์ของนายทุนจะกลายเป็นการทำลายผลประโยชน์ของพวกเราทั้งหมด?
มีคำแก้ต่างแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง ประเทศไทยขยับอย่างเชื่องช้าสู่รัฐสวัสดิการด้วยคำแก้ต่างของเหล่าชนชั้นนำและอำนาจเผด็จการทางการเมือง แต่ความเชื่องช้าเหล่านี้กำลังฆ่าคน แบบเดียวกันกับที่มันทำมามากกว่าครึ่งศตวรรษในสังคมไทย ด้วยระบบสังคมสงเคราะห์ พิสูจน์ความจน และการเพิ่มอำนาจของกลุ่มทุน
ช้าหนึ่งวันก็มีคนตายเพราะเรื่องนี้เพิ่ม เป็นข่าวบ้าง ไม่เป็นบ้าง
นักเศรษฐศาสตร์แก้ต่างว่าสร้างรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าประเทศจะล่มสลาย แต่ไม่ลังเลใจเวลารัฐบาลอุ้มกลุ่มทุนการเงินขนาดใหญ่ ชีวิตปลายฝนและลูกเคยอยู่ในสมการของพวกเขาหรือไม่ ?
ผู้ประกอบการพร่ำบ่นว่า พนักงานรายวันจะเปลี่ยนเป็นรายเดือนทั้งหมดได้อย่างไร ชีวิตวันละ 12 ชั่วโมงยืนขาแข็งของปลายฝนเคยอยู่ในสมการหรือไม่ ?
นักวิชาการบนหอคอยงาช้างกลัวว่าคนจนเมื่อได้เงินและสวัสดิการจะขี้เกียจ และใช้เงินไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ควรเป็น พวกเขาประวิงเวลาในการสร้างรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า และหมุนวนอยู่กับกลไกการพิสูจน์ความจน ชีวิตแรงงานอพยพอย่างปลายฝนก็คงจะไม่อยู่ในสมการเช่นเดียวกัน
ปลายฝนใจเธอเด็ดเดี่ยว เธอปรารถนาให้โลกนี้เป็นบ้านของทุกคน เรื่องง่ายๆแต่ ผู้มีอำนาจกลับทำให้มันซับซ้อน
ข้อความสุดท้ายของเธอ คือภาพสะท้อนชีวิตของคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ เราคือเธอ เราทุกคนคือ “ปลายฝน”
“เป็นภาพวาดที่วาดแล้วรู้สึกไม่อยากวาดต่อ เป็นภาพที่รู้สึกว่า วาดบนกระดาษแผ่นไหนก็ได้อ่ะ ตั้งแต่เรียนมา ไม่เคยมองรูปวาดไหนต่ำเท่ารูปนี้เลย วาดด้วยอารมณ์ที่ไม่มีเงิน ตังซื้อนมให้ลูกไม่พอ ค่านู่นค่านี่แพงไปหมด วาดด้วยอารมณ์ที่ทำงาน 12 ชม.ต่อวัน แล้วแม่งไม่เหลือไรเลย” เธอบรรยายในสื่ออนไลน์ส่วนตัว ถึงภาพวาดนายกรัฐมนตรี ก่อนเธอจะปลิดชีวิตตัวเอง
วันนี้ สถานการณ์โรคระบาดกำลังผ่อนคลาย แต่สถานการณ์มรณกรรมของประเทศกำลังเดินหน้าต่อไป ความเปราะบางและเหลื่อมล้ำแสดงตัวตนอย่างชัดเจนภายใต้วิกฤติครั้งนี้ พนักงานรายวันที่ทำงานหนักอย่างมาก กลับมีเงินไม่พอกับการประทังชีพ คนที่ทำงานหนักที่สุดกลับกลายเป็นคนจนที่สุดในสังคม และสิ้นหวังที่สุดในสังคม
ปลายฝนคือตัวแทนของกลุ่ม “แรงงานเสี่ยง” ในประเทศนี้
Guy Standing นักวิชาการชาวอังกฤษ ระบุสถานะของคนอย่างปลายฝนว่าคือ “แรงงานเสี่ยง (precariat)” เป็นกลุ่มคนที่แบกรับความเสี่ยงแทนชนชั้นนายทุน ไม่มีการรวมตัว ค่าจ้างไม่แน่นอน ไม่สามารถเลื่อนสถานะในการทำงานได้
หากเดิมทีนายทุนอ้างว่าตัวเองคือผู้แบกรับความเสี่ยงจึงเป็นผู้ควรได้กำไร แต่ในสภาวะปัจจุบัน คนอย่างปลายฝน อดีตพนักงานส่งนมตามบ้าน (แต่ต้องปลิดชีวิตเพราะไม่มีเงินค่านมลูก) สู่การเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยรายวัน เธอแบกรับความเสี่ยง ไม่ว่าจะเรื่องของสุขภาพตัวเอง ชีวิตการศึกษาของลูก ความเจ็บป่วยทั้งทางกายและใจจากความไม่มั่นคงในการทำงาน ชั่วโมงการทำงานและรายได้ที่ไม่แน่นอนแม้กระทั่งการทำให้ร่างกายของเธอแข็งแรงพอที่จะออกไปแบกความเสี่ยงให้กลุ่มทุนมั่งคั่งต่อไป เธอเสี่ยงที่สุด แต่ยากจน และลำบากมากที่สุด
เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้ปิดโครงการงานวิจัย “การเลื่อนลำดับชั้นระหว่างรุ่น และความสัมพันธ์กับระบบสวัสดิการประเทศต่างๆ”
สิ่งที่ชัดเจนคือว่า หากประเทศไทยเรายังคงใช้ระบบสังคมสงเคราะห์หรือการจัดสวัสดิการที่เน้นการพิสูจน์ความน่าสงสาร คิดว่าสวัสดิการเป็นเรื่องของคนเหนือกว่าให้แก่คนจนที่น่าสงสาร จะไม่สามารถลดความเหลื่อมล้ำในประเทศได้ ซ้ำร้ายมันกลับสร้างโอกาสให้กลุ่มชนชั้นนำสะสมความมั่งคั่งมากขึ้น ด้วยการสร้างกำแพงสูงและโปรยเศษทานออกนอกกำแพง พร้อมด้วยเทคโนโลยีทันสมัยที่สร้างความชอบธรรมภายใต้คำสวยงามว่า “ให้เฉพาะคนจนที่ตรงจุด หรือการสร้างระบบเครดิตที่ซับซ้อนมาจัดสวัสดิการ เพื่อป้องกันความวุ่นวายในสังคม” แต่สิ่งนี้ คือข้ออ้างที่จะไม่ยอมเสียภาษีอัตราก้าวหน้า และสร้างความเท่าเทียมผ่านรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า
งานวิจัยฉายภาพมุมกลับว่า หากประเทศที่เป็นรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า การเลื่อนลำดับชั้นของคนจะทำได้ง่ายขึ้น ความแตกต่างระหว่างชนชั้นลดลง และสำคัญที่สุดคือศักดิ์ศรีของคนในสังคมที่อยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม
รัฐสวัสดิการถ้วนหน้า จึงไม่ใช่แค่ระบบการสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจจากความล้มเหลวของกลไกตลาด แต่คือกลไกสำคัญที่ธำรงความเป็นมนุษย์ ที่มนุษย์ไม่ต้องถูกวัดประเมินเป็นตัวเลขตลอดเวลา เพราะเลือด เนื้อหัวใจ มันไม่สามารถประเมินได้
รัฐสวัสดิการถ้วนหน้า คือ การยืนยันว่าต้องมีพื้นที่ส่วนใหญ่ในสังคมที่ไม่ต้องถูกวัดประเมินเป็นตัวเลขและลดคุณค่าความเป็นมนุษย์
และรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า คือ หัวใจสำคัญที่ทำให้ประชาธิปไตยเป็นมากกว่าแต่คำสวยๆ นั่นคือ การคืนวิญญาณเสรีให้มนุษย์ไม่ถูกกักขังด้วยชาติกำเนิด และรักษาความเป็นมนุษย์ของพวกเราไว้
ในบทความชิ้นต่อไป เราจะมาคุยกันว่า รัฐสวัสดิการถ้วนหน้ามีเงื่อนไขการวางระบบการจัดสรรทรัพยากรอย่างไรที่สร้างความสมดุลย์ทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ และความไว้ใจระหว่างกันในสังคม