เรากำลังมอง “ระเบียบวินัย” จากมุมมองแบบไหน ?

1 มีนาคม 2565

โครงการ Common School เป็นพื้นที่เผยแพร่ความรู้แบบก้าวหน้า บทความนี้เป็นความคิดเห็นของผู้เขียน ซึ่งอาจไม่ตรงกับโครงการ Common School เสมอไป

“ระเบียบวินัย” (Discipline) เป็นหนึ่งในข้อถกเถียงทางการศึกษาที่มีมาอย่างต่อเนื่องในสังคมไทย ฝ่ายหนึ่งมองว่าการบังคับให้นักเรียนทำตามกฎของโรงเรียน เช่น การตัดผม การเคารพธงชาติ การแต่งกาย ถือเป็นการฝึกให้นักเรียนเรียนรู้ที่จะปฏิบัติตามกฎระเบียบ ซึ่งจะนำไปสู่การปฏิบัติตามกฎหมายของสังคมในอนาคต หลายโรงเรียนจึงเลือกใช้อำนาจเข้ามาควบคุม บังคับ ตรวจตราอยู่เป็นประจำ  อีกฝ่ายกลับเห็นต่างโดยมองว่า วินัยไม่ใช่สิ่งที่สร้างได้ด้วยการสั่งการหรือบังคับให้ทำตาม   แต่มาจากการฝึกให้นักเรียนใช้เหตุผลไตร่ตรองจากตัวเอง จึงเลือกสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัย สร้างพื้นที่ให้นักเรียนได้สะท้อนตัวเอง และเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมเพื่อออกแบบกติกาในการอยู่ร่วมกัน 

ความต่างของสองมุมมองนี้สะท้อนจุดยืน ความคิด และความเชื่อเกี่ยวกับนิยามของวินัยที่ต่างกัน ในข้อเขียนนี้ผู้เขียนจึงอยากชวนสำรวจนิยามของ “ระเบียบวินัย” จากหลากหลายมุมมองที่ลึกลงไป ทั้งจากมุมมองประวัติศาสตร์ จิตวิทยาการเรียนรู้  และสังคมวิทยาการศึกษา เพื่อที่จะขยายให้เห็นคำอธิบายหรือข้อถกเถียงว่าระเบียบวินัยแต่ละแบบนั้นกำลังวางอยู่บนพื้นฐานคุณค่าและมุมมองแบบใด 

ระเบียบวินัยภายใต้รัฐเผด็จการกับการสร้างพลเมืองดีผ่านการเชื่อฟัง

          ในบทความวิจัย “วินัยและการลงทัณฑ์์ ในประวัติศาสตร์การศึกษาไทย (พ.ศ.2475-2563)” ของภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ ได้ชี้ให้เห็นว่า วิธีคิดต่อระเบียบวินัยในโรงเรียนเป็นมรดกตกทอดจากวิธีคิดทางหทารในยุคหลัง 2475 ที่ต้องการเป็นมหาอำนาจ สังเกตุได้จากการควบคุมทั้งทางร่างกายและวัฒนธรรม เช่น ทรงผม ชุดเครื่องแบบ การเข้าแถวเคารพธงชาติ เป็นต้น

การควบคุมถูกทำให้เข้มข้นอย่างต่อเนื่องขึ้นในทศวรรษ 2500 เป็นต้นมา ภายหลังการรัฐประหารมีการออกระเบียบวินัยว่าด้วยทรงผมอย่างเป็นรูปธรรม โดยให้อำนาจตัดสินใจอยู่ในดุลพินิจของโรงเรียน บทความดังกล่าวตั้งข้อสังเกตว่า การให้อำนาจตัดสินใจตามดุลยพินิจของโรงเรียนอาจทำให้เกิดการตีความโดยไม่คำนึงถึงหลักสิทธิและเสรีภาพ ดังที่เราเห็นจากข่าวมากมาย มีการตรวจระเบียบวินัยจากทรงผม แล้วจบลงด้วยการกร้อนผม ทำให้อับอาย หรือลงโทษด้วยวิธีอื่นๆ  นอกจากนี้การควบคุมวินัยผ่านเครื่องแบบยังสัมพันธ์กับการเติบโตของธุรกิจเครื่องแบบและการเข้าไม่ถึงโอกาสทางการศึกษาของเด็กที่ไม่มีเงินมาหาซื้อเครื่องแบบได้

ความน่าสนใจอีกประการคือ ระเบียบวินัยยังมีสัมพันธ์แนบแน่นกับมิติวัฒนธรรมในอุดมการณ์แบบอนุรักษ์นิยมที่มุ่งส่งเสริมคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนักเรียนที่ต้องจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ดังเช่น วิชาลูกเสือ ถูกเน้นย้ำในฐานะวิชาของการฝึกระเบียบวินัย    

          แนวคิดเรื่องการสร้างวินัยลงบนตัวตนนักเรียนในสังคมไทย เกี่ยวข้องกับการนิยามความหมายของ “เด็กดี” แบบสูตรสำเร็จ เสมือน checklists และกฎเหล็กให้นักเรียนต้องเรียนรู้ ซึมซับ และปฏิบัติตนตามอุดมการณ์ (ของชนชั้นผู้ปกครองหรือรัฐเผด็จการ) ดังจะเห็นได้ชัดเจนหลังการรัฐประหารปี 2557 คณะรัฐประหารได้มีความพยายามถ่ายทอดค่านิยม 12 ประการของพลเมืองดีสู่โรงเรียนในฐานะหลักปฏิบัติและเป็นส่วนหนึ่งในวิชาเรียนหน้าที่พลเมืองเพิ่มเติมโดยอ้างว่าจะเป็นการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม

อาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อดีตอาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ เห็นว่าสิ่งนี้กำลังสร้าง “ผู้เรียนที่มีจิตวิญญาณความเป็นทาส เชื่อทุกอย่างเหมือนกันหมด” ที่เป็นวัฒนธรรมของการเน้นให้อยู่ใต้การบังคับบัญชาแบบเผด็จการ 

          ในบทความยังได้อธิบายอีกว่า หลังปี 2540  ข้อถกเถียงถึงความสมเหตุสมผลของระเบียบวินัยดังกล่าวเริ่มมีมากขึ้น และการถือกำเนิดของพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กปี 2546 ที่เป็นผลมาจากรัฐธรรมนูญ 2540 การลงโทษด้วยการเฆี่ยนตีเพื่อสร้างความความกลัวและการทำร้ายร่างกายในนามของความหวังดีที่อยู่ภายใต้วัฒนธรรมโรงเรียนไทยมาช้านานได้ถูกยกเลิกและแทนที่ระบบคะแนนความประพฤติ แต่ทว่าแม้มีกฎหมายเข้ามาพยายามลดความรุนแรงและให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพมากขึ้น แต่โรงเรียนไทยก็ยังวางอยู่บนวินัยแบบทหารที่สร้างการกำราบ ควบคุม จับผิด  สร้างความกลัว และใช้การลงโทษทางร่างกายเพื่อสร้างระเบียบวินัยอยู่เสมอมา สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นเหตุผลสำคัญของนักเรียน ในการลุกขึ้นมาประท้วง ทวงถามถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพเสมอมา โดยเฉพาะในยุคสื่อออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท กลุ่มนักเรียนเลว ที่มองว่าแนวคิดระเบียบวินัยแบบเผด็จการทหารกำลังกดทับศักยภาพและตัวตน ไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้   และยังละเมิดสิทธิเสรีภาพบนเนื้อตัวร่างกายของผู้เรียนด้วย

สร้างวินัยจากความกลัวและการลงโทษ หรือ เหตุผลและเคารพของความเป็นมนุษย์ ?

          ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เราอาจสะท้อนได้ว่าโรงเรียนไทยกำลังสร้างวินัยจากความกลัวและการลงโทษ  ภายใต้มุมมองที่เชื่อว่า ‘การเรียนรู้ควรสร้างเงื่อนไขให้นักเรียนเรียนรู้และปฏิบัติตามผ่านการกระทำซ้ำๆ ย้ำๆ’ ตามมุมมองจิตวิทยาการเรียนรู้แบบพฤติกรรมนิยม (behaviorism) ซึ่งแนวคิดนี้เชื่อว่า พฤติกรรมของมนุษย์เกิดขึ้นจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า จากนั้นมนุษย์ก็จะเกิดการเรียนรู้ จดจำ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผ่านการเสริมแรงทางบวกและทางลบ การให้รางวัล และการลงโทษ อาจพูดได้ว่าสิ่งเร้าหรือเงื่อนไขเป็นกลไกสำคัญที่ใช้ปรับเปลี่ยนระเบียบวินัยของนักเรียนได้ ตัวอย่างของการวางเงื่อนไขและผลลัพธ์ตามหลักจิตวิทยาพฤติกรรมนิยมที่ปรากฎชัดในสังคมไทยคือ “ความกลัวและการลงโทษ”

หลายโรงเรียนเลือกที่จะใช้ความกลัวเพื่อควบคุม ปราบปราม กำราบเด็กให้อยู่ในร่องในรอยซ้ำมาซ้ำไป สร้างความรู้สึก “กลัวที่จะถูกลงโทษ ถูกครูตี ถูกครูด่า”  ภาพของนักเรียนที่มีระเบียบวินัยจึงเป็นเป็นภาพของนักเรียนที่อยู่โอวาท เชื่อฟัง และเดินตามกฎเกณ์ที่ครูวางไว้  

          ในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับไม่ได้ตัดสินใจกระทำหรือไม่กระทำสิ่งหนึ่งจากสำนึกของเหตุผล แต่เป็นเทคติค (tactic) เพื่อลบหลีกจากการลงโทษ ด้วยการแสร้งว่าเชื่อฟัง ดังที่ ทิชา ณ ณคร หรือ ป้ามล ผู้ทำงานด้านเด็กและเยาวชน ได้สะท้อนผ่านบทสัมภาษณ์และหนังสืออย่าง “เด็กน้อยโตเข้าหาแสง” ป้ามล เน้นย้ำว่า การสร้างวินัยไม่ได้เกิดจากสร้างเงื่อนไขที่เป็นกฎเหล็กของอำนาจนิยม แต่เป็นการสร้างพื้นที่ของความเชื่อใจ เป็นมิตร และการพูดคุยบนเหตุผลเพื่อฝึกการตัดสินใจ พร้อมให้โอกาสและโอบอุ้มเมื่อทำผิดพลาด   เป็นการกระทำที่อยู่บนความสัมพันธ์ของความรักและเคารพของความเป็นมนุษย์ของคนหนึ่ง  

          มุมมองของป้ามล แสดงชัดเจนถึงวินัยในมุมมองแบบมนุษนิยม (Humanism) ที่เชื่อว่า วินัยที่เกิดขึ้นภายในตัวตนของคนคนหนึ่งนั้น มาจากการที่เขามีความรู้สึก ความคิด ประสบการณ์ ในการเรียนรู้เพื่อตัดสินใจกระทำสิ่งต่างๆ โดยคำนึงถึงตัวเองและสังคมส่วนรวม ดังนั้น การเรียนรู้ผ่านการพูดคุย สนทนา สะท้อนความรู้สึกนึกคิด ทีละเล็กทีละน้อย ปราศจากอำนาจควบคุมให้หวาดกลัวจึงเป็นพื้นที่สำคัญในการพัฒนาวินัยภายในตัวตนของเด็กให้เกิดขึ้นได้

  ในทำนองเดียวกัน นักจิตวิทยาชื่อดังชาวรัสเซีย  Lev Vygotsky เห็นว่า พื้นที่ของการปฏิสัมพันธ์เช่นนี้ คือการที่ค่อยๆ พัฒนาการเรียนรู้ที่เป็นเหตุเป็นผลขึ้น โดยที่ครูมีบทบาทสำคัญในการเข้าไปสนับสนุนเป็นเสมือนนั่งร้านที่ผลักดันให้นักเรียนเติบโตจากการให้คำแนะนำ และการแลกเปลี่ยน วินัยในวิธีคิดแบบ Vygotsky จึงต้องสร้างบนพื้นฐานของการพูดคุย ไม่ใช่การควบคุม จับจ้อง และลงโทษ

วินัยคือเครื่องมือสอดส่อง ควบคุม หรือ พื้นที่ของการพูดคุย ต่อรอง ?

          ในสายตาของสังคมวิทยาการศึกษา (Sociology of Education) มุมมองเกี่ยวกับระเบียบวินัยแต่ละแบบคือภาพสะท้อนอย่างตรงไปตรงมาของลักษณะที่สังคมนั้นๆ ต้องการส่งต่อผ่านระบบโรงเรียน โดยการเข้ามากำหนด ตัดสินใจว่านักเรียนควรเรียนรู้อะไร และปฏิบัติอย่างไร Giroux และ Penna ได้อธิบายถึง 3 มุมมองที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างระเบียบวินัยและหลักสูตรไว้ได้อย่างน่าสนใจ มุมมองแรกคือแบบโครงสร้าง-หน้าที่ (structural functional perspective) เป็นวิธีคิดแบบจารีตนิยมที่มองระบบโรงเรียนในฐานะพื้นที่ของการส่งต่อ ถ่ายทอด ผลิตซ้ำ ความรู้ค่านิยมให้กับนักเรียน ด้วยวิธีคิดเช่นนี้ จึงมาพร้อมกับการระบุกฎระเบียบ พฤติกรรมที่เห็นว่าดีและไม่ดี และป่าวประกาศให้นักเรียนมีหน้าที่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เป็นการมองการเรียนรู้ด้วยสายตาที่อยู่บนความคิดแบบ “อาชญากรรมและการลงโทษ” บทบาทของครูคือการคอยจับจ้อง สอดส่อง และลงโทษนักเรียนเพื่อรักษาระเบียบของอำนาจที่วางไว้ เช่น การที่ครูใช้การลงโทษทางร่างกาย เพื่อหวังให้นักเรียนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามกฎเหล็กโดยเร็ว เป็นต้น

          มุมมองที่สองคือปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ (symbolic interactionism)  มองว่า นักเรียนไม่ใช่วัตถุที่รอรับคำสั่งการ แต่พวกเขามีอำนาจในการคิด ทำความเข้าใจ ตัดสินใจ ต่อสภาพแวดล้อมที่เขาดำรงอยู่ ชั้นเรียนหรือโรงเรียน จึงควรเป็นพื้นที่ของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน ที่จะกระทำการและสร้างความรู้ร่วมกัน แนวคิดนี้เห็นว่าการสร้างวินัยในการเรียนรู้ไม่ได้มาจากการสั่งการ ควบคุม แต่มาจากการต่อรอง ที่ครูจะเปิดโอกาสให้นักเรียนได้มีโอกาสควบคุมชีวิตของตนเองได้ด้วยการกำหนดกติกา แนวทางการเรียนรู้ และการอยู่ร่วมกัน ผ่านการพูดคุย แลกเปลี่ยนร่วมกับผู้อื่น บนความสัมพันธ์ที่อยู่บนการมีส่วนร่วมแบบประชาธิปไตย เมื่อนักเรียนละเมิดข้อตกลงดังกล่าวหรือทำผิดต่อผู้อื่น ระบบจะมุ่งให้ความสำคัญกับการฟื้นฟู ทบทวน หาทางออกในเชิงบวก แทนที่การลงโทษ

มากไปกว่านั้น แนวคิดอย่างทฤษฎีความขัดแย้ง (Conflict theory)  ได้ขยายความเพิ่มเติมว่า ระเบียบวินัยเป็นเครื่องมือของอำนาจทางการเมืองที่พยายามจะส่งต่อคุณค่านิยมบางอย่างผ่านการเรียนรู้ จะเห็นได้ชัดจากการเรียนประวัติศาสตร์ที่ถูกใช้ปลูกฝังความคิดแบบอำนาจนิยม เพื่อรักษาอำนาจ สถานะและผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม ทำให้มุมมองนี้มีแนวทางที่ต้องการต่อรอง ตั้งคำถาม เปลี่ยนแปลง ถึงระเบียบอำนาจที่ไม่เป็นธรรม และแสวงหาแนวทางใหม่บนพื้นฐานประชาธิปไตย

สุดท้ายแล้วการศึกษาควรเป็นไปเพื่ออะไร?

          การสำรวจหลากหลายมุมมองว่าด้วย “ระเบียบวินัย” อาจไม่ใช่แค่การทำความเข้าใจทั้งในแง่แนวคิด ความเป็นมาในเชิงประวัติศาสตร์ จิตวิทยาการเรียนรู้ และสังคมวิทยาการศึกษาเท่านั้น แต่ยังเป็นคำถามสำคัญที่จะพาให้เรากลับมาทบทวนว่า สุดท้ายแล้วการศึกษาควรเป็นไปเพื่ออะไร? 

หากคำตอบคือเราอยากเห็นการศึกษาเป็นไปเพื่อให้คนคนหนึ่งกล้าที่จะคิด กล้าตั้งคำถาม มีตรรกะเหตุผล และมีความสามารถในการตัดสินใจด้วยวิจารณญาณ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของพลเมือง ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องสร้างโรงเรียน ห้องเรียน หลักสูตร บทเรียน และมุมมองวินัย ที่วางอยู่บนวัฒนธรรมประชาธิปไตย ไม่ใช่อำนาจเผด็จการและการควบคุมอีกต่อไป

อ้างอิง

‘พิธีกรรม’ ในระบบการศึกษาไทย ยุคเรียนออนไลน์

โรงเรียน “สาธิต”กับการฝึกฝนระเบียบวินัยโดยทหาร

“ไม่มีใครเกิดมาเพื่อเป็นอาชญากร” ป้ามล-ทิชา ณ นคร ผู้หวังเปลี่ยนโครงสร้างเฮงซวย เพื่อสร้างชีวิตใหม่ให้เด็กติดคุก

กฎระเบียบ เกลียดระบบ’ คุยกับ 4 แกนนำนักเรียนเลวผู้เรียกร้องสิทธิเหนือร่างกายนักเรียน

Vygotsky การจัดการเรียนรู้ที่ดี คือ การทำให้เด็กรู้สึกว่ามีใครสักคนอยู่เคียงข้าง เป็นนั่งร้านที่ช่วยสนับสนุนให้เขาเติบโต

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: ค่านิยม 12 ประการแด่นักเรียน

วินัยและการลงทัณฑ์์ ในประวัติศาสตร์การศึกษาไทย (พ.ศ.2475-2563)   ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์  ใน วารสาร สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร  Vol. 17 No. 2 (2021): กรกฎาคม-ธันวาคม   หน้า 283-236

The Sociology of Classroom Discipline   

หนังสือ

เด็กน้อยโตเข้าหาแสง ผู้เขียน มิลินทร์

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

เรื่องเด่น

บทความ

   ดูทั้งหมด
15 ธันวาคม 2565    Common School

สถาบันครอบครัวแบบขงจื๊อและรัฐสวัสดิการของเกาหลีใต้

8 ธันวาคม 2565    Common School

FIFA World Cup กับด้านมืดของ (เหล่า) เจ้าภาพที่กำลังละเมิดสิทธิผู้อื่น

22 พฤศจิกายน 2565    Common School

Brave New World

19 พฤศจิกายน 2565    Common School

สายใยครอบครัวถักทอรัฐสวัสดิการ

19 พฤศจิกายน 2565    Common School

หรือที่ความรู้ไร้ประโยชน์เพราะมันคัดง้างระบอบอำนาจ? : อ่านไขว้ “ประโยชน์ของความรู้ที่ไม่มีประโยชน์” x “แม่ง โคตรโฟนี่เลย”

14 พฤศจิกายน 2565    Common School

“เรื่องง่ายๆ” นวนิยายที่บอกว่าระบบราชการไม่เรียกร้องทักษะการใช้เหตุผล

13 พฤศจิกายน 2565    การเมืองท้องถิ่น บทความ

จดหมายเปิดผนึก ถึงประชาชนที่เคารพ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่น ข้าราชการและบุคลากรท้องถิ่นทั่วประเทศไทย

9 พฤศจิกายน 2565    Common School

เครือข่ายทหารสายวัง 2 แผ่นดิน กรณี “ทหารเสือราชินี” และ “ทหารคอแดง”

7 พฤศจิกายน 2565    Common School

เรื่องเกิดจากนามสกุลใหม่: ทลายสังคมชายเป็นใหญ่ด้วยรักแท้ฝ่าข้อจำกัด (?)

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า