มีประเด็นหนึ่งน่าสนใจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องการพัฒนาท้องถิ่นและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในท้องถิ่นโดยตรง เกิดขึ้นจากวงคุย “Reading Group อ่านเปลี่ยนโลก” ซึ่งจัดโดย “Common School” คณะก้าวหน้า เมื่อวันก่อน
ในการพูดคุยถึงหนังสือ “เศรษฐกิจสามสี เศรษฐกิจแห่งอนาคต” ผลงานของ วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง สถาบัน GRIPS ประเทศญี่ปุ่น โดยมี ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมพูดคุย และ รักชนก ศรีนอก จากกลุ่มพลังคลับ ดำเนินรายการ มีคำถามหนึ่งโยนเข้ามาในวงว่า การพัฒนาเศรษฐกิจของไทยที่ผ่านมา ซึ่งเน้นที่เป็นเพียงฐานการผลิต ยึดโยงกับอุตสาหกรรมแบบเก่า เราจะแก้ไขอย่างไรเพื่อก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมแบบใหม่ ?
ธนาธร ตอบคำถามนี้ด้วยการเชิญชวนทุกคนยอมรับข้อสรุปที่ตรงกันก่อนว่า ตั้งแต่เราเริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา รวมถึงตลอดทั้งรัฐบาลนี้ด้วย ความคิดที่จะดึงนักลงทุนต่างชาติ มองไทยเป็นฐานการผลิต ให้ต่างชาติมาตั้งโรงงานแล้วคนไทยก็เข้าไปเป็นคนงานในสายพานการผลิต ให้ต่างชาติผลิตเพื่อป้อนตลาดในประเทศ ป้อนตลาดอาเซียน ส่งออกนั้น เป็นรูปแบบที่ล้าสมัยและพาประเทศไทยไปข้างหน้าให้ไกลกว่านี้ไม่ได้แล้ว
ดังนั้น ถ้าจะต้องเดินไปข้างหน้าด้วยทิศทางใหม่ บทบาทที่สำคัญของรัฐจะต้องเกิดขึ้นในฐานะ “ผู้ซื้อ” หรือ “Buyer” ซึ่งจะเป็นการใช้กำลังซื้อของรัฐสร้าง Supply Chain ใหม่ สร้างผู้ประกอบการใหม่ สร้างงานใหม่ และรวมถึงสร้างเทคโนโลยีที่เป็นของตัวเอง
ตอนนี้เองที่ ธนาธร ยกตัวอย่างเรื่องของระบบน้ำประปาในท้องถิ่น ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องของความเพียงพอต่อการใช้, ความสะอาด, คุณภาพน้ำ ฯลฯ ยังคงเป็นปัญหาในหลายๆ พื้นที่ ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงให้ดีได้ผ่านเทคโนโลยี ซึ่งวันนี้สามารถทำได้ทันทีนั่นก็คือ “ระบบการจัดเก็บค่าน้ำประปา” ของแต่ละเทศบาล
เพราะวันนี้ ส่วนใหญ่แล้วแต่ละท้องถิ่นยังใช้พนักงานคนเดินจดมิเตอร์ค่าน้ำ ก่อนนำมาคำนวนเพื่อออกบิล จากนั้นก็เดินบิลส่งให้กับประชาชนสำหรับไปใช้ใช้จ่ายค่าน้ำ
ธนาธร ชวนคิดว่าถ้าลองเปลี่ยนมิเตอร์แบบเก่าเป็น “สมาร์ท มิเตอร์ (Smart Meter)” หรือ “มิเตอร์น้ำอัจฉริยะ” จะช่วยลดอะไรและสร้างอะไรได้บ้าง ?
เขาไล่เรียงให้เห็นว่า งานที่ไม่เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจอย่างการใช้คนเดินจดมิเตอร์นำ้ก็จะไม่ต้องทำ คนจะได้ไปทำงานที่เกิดมูลค่าอย่างอื่น มิเตอร์น้ำอัจฉริยะนอกจากการคำนวนค่าน้ำ ออกบิลได้แล้ว ยังสามารถนำมาใช้ในเรื่องการอนุรักษ์พลังงาน ท่อรั่วตรงไหน แต่ละเดือนปริมาณการใช้น้ำเป็นอย่างไร สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งจะลดความสูญเสียในระบบได้อีกด้วย
และการซื้อ “มิเตอร์น้ำอัจฉริยะ” มาติดนี่เองคือการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ที่ประธานคณะก้าวหน้ายกตัวอย่างว่า “รัฐจะต้องเป็นคนซื้อ” และเขายังชี้ให้เห็นสิ่งที่สำคัญยิ่งว่านั้นคือ การต้องหาบริษัทที่สามารถผลิต “มิเตอร์น้ำอัจฉริยะ” ในประเทศให้ได้
“ถ้าทำจริงๆ ผมว่าปีหนึ่งก็ผลิตได้แล้วในประเทศไทย แล้วลองนึกดูสิว่ามีกี่ครัวเรือนถ้าเราจะเปลี่ยนมิเตอร์น้ำแบบเก่าเป็นมิเตอร์แบบใหม่ทั้งประเทศ และรัฐเป็นคนซื้อ นี่คือเกิดการจากจ้างงานใหม่ อุตสาหกรรมใหม่ และเกิดเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นของคนไทยแน่นอน” ธนาธร กล่าวอย่างมั่นใจ
นี่คือการสร้างงานโดยรัฐ นี่คือการใช้รัฐมาเป็นตัวขับเคลื่อนเทคโนโลยี และสร้าง Supply Chain ใหม่
และนี่แค่เรื่อง “มิเตอร์น้ำอัจฉริยะ” เพียงเรื่องเดียว ประเทศไทยยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างต้องเปลี่ยน เยอะแยะเต็มไปหมด