มื้อกลางวัน, คุณลุงคนขับแท็กซี่อายุน่าจะเฉียด 70 ปี
ในวัยเกษียณที่แกควรจะได้พักผ่อน แต่การเป็นประชากรประเทศไทย ประเทศซึ่งมีโครงสร้างการเมือง เศรษฐกิจและสังคมบิดเบี้ยวอย่างที่เป็นอยู่นี้ มันผลักให้แกยังคงต้องออกไปทำงาน
เพื่อให้ได้เงิน แค่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเอง
ในสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ภายใต้มาตรการห้ามนั่งกินอาหารในร้าน แต่สำหรับแกก็คงจะไม่กี่ครั้งหรอกที่ได้ไปนั่งกินอย่างใครเขา หุงข้าวและห่อมาเอง กับข้าวซื้อเอาง่ายๆ และหาหลบมุมกิน, ประหยัด
ผมเสียมารยาท มองเข้าไปในตัวรถแท็กซี่ที่ลดกระจกลงทุกบาน ขณะที่มีโอกาสได้สนทนากับแกซึ่งกำลังนั่งกินข้าวอยู่บนฟุตบาทริมทาง ในหมู่บ้านที่รถไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าใดนัก
บนที่นั่งฝั่งคนขับ มีข้าวสวยในถุงพลาสติกและกับข้าวอีกอย่างหนึ่ง คาดว่าแกน่าจะเตรียมไว้สำหรับมื้อเย็น
ผมจอดรถอยู่ก่อนแล้วตอนที่แกมาจอดต่อท้าย
ขณะหายไปทำธุระ กลับมาเห็นแกกำลังนั่งกินข้าวอยู่ จึงทำให้เราได้เริ่มต้นสนทนากัน โดยเป็นผมที่เริ่มต้นทักทายถามไถ่ถึงสถานการณ์การทำมาหากิน ขับแท็กซี่ทุกวันนี้เป็นไงบ้าง? ลูกค้าพอมีไหม? รายรับรายจ่ายเป็นไง?
สรุปคำตอบที่ได้ด้วยคำจำกัดความสั้นๆ คำเดียวว่า “แย่”
ชายวัยใกล้ 70 ปี บ่นให้ฟังว่า ขับรถตั้งแต่เช้ามาจนกระทั่งตอนนี้คือใกล้เที่ยง เพิ่งได้ลูกค้า 2 ราย กำเงินยังไม่ถึง 200 บาทเต็ม
ขณะที่รถแท็กซี่ซึ่งเช่ามาจากอู่ มีค่าเช่าอยู่ที่ 400 บาทต่อวัน แกไล่เรียงให้ฟังเสร็จสรรพว่า วิ่งทั้งวันก็จะหมดค่าแก๊สราว 400 บาท
“อย่างต่ำก็ต้องวิ่งรถได้ 1,000 ขึ้น ถึงจะพอกิน” ใบหน้านั้นแม้จะมีรอยยิ้ม แต่ดวงตาไม่ได้ยิ้มตามไปด้วยเลย มันเต็มไปด้วยความเศร้า สลด หดหู่
คณิตศาสตร์เด็กประถม ค่าเช่ารถทั้งวัน 400 บาท + ค่าแก๊ส 400 บาท = 800 บาท ดังนั้น ต้องวิ่งรถให้ได้ 1,000 บาท ถึงจะพอกิน หมายความว่าส่วนต่างคือ 200 บาท
200 บาท ! น้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำของประเทศนี้เสียอีก
“แย่หน่อยนะครับ ช่วงโควิดแบบนี้” ผมไม่รู้จะกล่าวประโยคใดได้ดีกว่านี้
“อื้อ นี่ลุงก็หนีกลับบ้านมารอบหนึ่งแล้ว” แกว่า หยุดกลืนข้าวก่อนจะพูดต่อว่า “นี่ก็เพิ่งกลับมาวิ่งได้ 4-5 วัน ก่อนหน้านี้ก็เลิก กลับไปอยู่ที่บ้านอุบลฯ ได้ 15 วัน แต่ก็ไม่มีงาน ไม่มีการทำ สุดท้ายก็ต้องเข้ากรุงเทพฯ กลับมาวิ่งแท็กซี่เหมือนเดิม ไม่งั้นอดตาย”
กลัวก็คงกลัวแหละโควิด ยิ่งวัยขนาดแกต้องถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง แต่จะให้ทำยังไงได้ เมื่อรัฐบาลห่วยๆ แบบนี้มันทำให้คนอย่างแกและวัยขนาดแกต้องมาเสี่ยงเอา
ระหว่าง “อดตาย” กับ “ป่วยตาย” ไม่เจอะเจอทั้งสองอย่างนี้ก็ถือว่าโชคดีไป
ทั้งๆ ที่ทั้งสองอย่างนี้ ถามว่าทำไมแกหรือแม้แต่ประชาชนคนไทยจะต้องเลือกด้วย ทำไมต้องเจอด้วย รัฐบาลมีหน้าที่ต้องทำให้ทั้งสองอย่างนี้ไม่เกิดขึ้น ไม่ใช่เหรอ? แต่ถ้าไม่มีประสิทธิภาพ ไร้ความสามารถ ก็ออกไป
กลับมาที่เรืองราวของคุณลุงคนขับแท็กซี่, การเริ่มต้นใหม่ของแกรอบนี้ ยังมี “หนี้ก้อนใหญ่” ที่หยิบยืมใครต่อใครมาเป็นเดิมพัน
ด้วยหลังจากที่หยุดไป 15 วัน ไม่มีงานก็ไม่มีเงิน จะออกสตาร์ทลองดูกันอีกสักตั้งนั้นก็ต้องใช้เงิน ไหนจะค่าเดินทาง ไหนจะค่าเช่าบ้าน ไหนจะค่ากิน
นี่คือเดิมพันของแกที่รัฐบาลบ้าๆ บวมๆ แบบนี้ไม่เคยคิดจะใส่ใจ
“เอาใจช่วยนะคุณลุง”
และก็เป็นอีกครั้งที่ผมไม่รู้จะพูดประโยคอะไรที่ดีกว่านี้