คงไม่มีใครไม่รู้ความหมายของคำว่า “อภิสิทธิ์”
คลิกพจนานุกรมออนไลน์ ค้นคำตอบดูอีกครั้ง ได้รับคำอธิบายว่า หมายถึง น. สิทธินอกเหนือขอบเขต, สิทธิเหนือกฎหมายหรือระเบียบที่วางไว้, สิทธิที่ได้รับนอกเหนือจากกฎระเบียบที่วางไว้ (ป., ส.)
ในสังคมที่เต็มไปด้วยช่วงชั้นและความเหลื่อมล้ำที่ถ่างกว้างอย่างสังคมไทย ถามว่า “อภิสิทธิ์” ที่มีคนได้รับนี้มาจากไหน?
ทุกคนตอบได้ไม่ยาก- ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจ ยศถาบรรดาศักดิ์
มีเงินมากกว่าก็ได้อภิสิทธิ์เหนือกว่า มีอำนาจ ยศถาบรรดาศักดิ์สูงกว่าก็ได้อภิสิทธิ์นั่งหน้า ได้อภิสิทธิ์มาก่อน “ไม่ต้องต่อคิว”
นี่คือสิ่งที่ปลูกฝังหยั่งรากลึกในสังคมไทย เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็รู้แต่กลับยอมรับว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทั้งๆ ที่โดยแท้จริงแล้ว ในสายตาอารยะประเทศคือเรื่อง “ผิดปกติ”
กรณีตำรวจหนุ่มคนหนึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงผู้กำกับ ตกเป็นข่าวว่าซ้อมทรมาน ขู่กรรโชกทรัพย์ผู้ต้องหาคดียาเสพติดจนถึงแก่ชีวิต ซึ่งกำลังเป็นข่าวใหญ่นี้
น่าแปลกไหมที่พอมีภาพ มีคลิป เหตุการณ์ซ้อมทรมานนั้นออกมา คนทั้งสังคมต่างก็พูดในทำนองเดียวกันคือ “รู้” ว่ามีเหตุการณ์ลักษณะนี้
คำว่า “มือไม่ถึง” ที่คนในแวดวงตำรวจใช้ในกรณีเหตุการณ์นี้ แสดงว่ามีพวก “มือถึง” ที่ซ้อมทรมานผู้ต้องหาให้รับสารภาพหรือเพื่อประโยชน์ที่ต้องการ โดยไม่เสียชีวิตอยู่เยอะแยะมากมายใช่หรือไม่?
นี่ก็อีกเรื่องที่ “ความผิดปกติ” ถูกทำให้กลายเป็นเรื่อง “ปกติ”การซ้อมทรมานซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงนี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมไทยได้อย่างไร
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้ผมคิดถึงคำว่า “อภิสิทธิ์ปลอดความผิด” ที่ อ.ธงชัย วินิจจกูล เคยนำเสนอให้เห็นถึงความเน่าเฟะของหลัก “นิติรัฐแบบไทยไทย” ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็น “นิติรัฐอุปถัมภ์”
ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าตำรวจหนุ่มผู้ซึ่งถูกออกหมายจับนี้ร่ำรวยมีเงินมีทองขนาดไหน ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าเขารู้จักผู้หลักผู้ใหญ่มีคอนเน็คชั่นอย่างไรบ้าง สังคมก็ยิ่งอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะหลุดรอดคดีซ้อมทรมานจนทำให้มีผู้เสียชีวิตนี้ไปได้หรือไม่?
เพราะแค่เบื้องต้นกรณีพ่อของผู้เสียชีวิตไม่ติดใจเอาความก็เป็นสิ่งที่น่าสงสัยแล้ว
ยิ่งกรณีโรงพยาบาลออกใบรับรองการตายของผู้ต้องหาที่ถูกซ้อมทรมานว่า “สันนิษฐานว่า พิษจากสารแอมเฟตามีน” ก็เป็นสิ่งที่น่าตั้งคำถาม
ในกรณีปัจเจก หรือสำหรับบุคคลแบบนี้ ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งผลเป็น “อภิสิทธิ์ชน” ก็คืออำนาจหรือความสามารถในการเข้าถึงอำนาจ ซึ่งในกรณีของตำรวจหนุ่มคนนี้ยิ่งชัดเจน เขารู้ว่าจะพาตัวเองไปอยู่ตรงจุดไหน รู้ว่าควรที่จะต้องรู้จักหรือคบค้าสมาคมกับใคร
ในจดหมายของลูกน้องที่ส่งไปร้องเรียนระบุ และให้ภาพชัดว่า
“ทีแรกตอนท่านมารับตำแหน่ง พวกผมก็แอบดีใจนะครับ เพราะค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต พบว่า ท่าน ผกก. แกรวย มีฐานะ ขับรักเฟอเรอรี่ อยู่สังคมไฮโซ เคยคบหามีแฟนเป็นดารา หน้าตาท่านผกก.ก็ดูดี แถมยังเป็น “จิตอาสาพระราชทาน” รุ่นแรก… ดีใจกันใหญ่เลยครับ มีคนดีเป็นพ่อพระมาแล้ว”
หรืออย่างก่อนหน้านี้ก็มีกรณีของ ประสิทธิ์ เจียวก๊ก ผู้ต้องหาคดีฉ้อโกง ที่มีพฤติกรรมการ “เข้าถึงอำนาจ” ไม่ต่างกัน
และถ้าจำไม่ผิด ผู้เสียหายที่หลงเชื่อ ก็มาจากพฤติกรรมทำนองเดียวกันของเขา เชื่อในการเป็น “คนดี” แบบที่เขาพยายามสร้าง
ในสังคมไทย มีประโยคๆ หนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความบิดเบี้ยว ได้แก่ “knowledge (ภูมิปัญญา), Know how (ความรู้) หรือจะสู้ Know Who (รู้จักใคร)”
ฟังแล้วน่าเศร้านะครับ
ความผิดปกติแบบนี้ต้องเปลี่ยนแปลงได้แล้ว!