เป็น 2 ประเด็นใหญ่ในสังคม ซึ่งเมื่อได้รู้รายละเอียดแล้วถึงกับอุทานออกมาว่า “อห” ที่ไม่ได้ย่อมาจาก “โอ้โห”
เราจะอยู่กันแบบนี้จริงๆ เหรอ?
คำถามเดิมๆ ซ้ำๆ เครื่องหมายปรัศนีตัวใหญ่ พร้อมกับการส่ายหัวและถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ลองวัดตัวคุณเองดูก็ได้ รู้สึกอย่างไรเมื่อได้ทราบว่า
1.รัฐสั่งจับตาประชาชนโดยอ้างเรื่องความมั่นคง มีการส่งเจ้าหน้าที่ไปติดตาม สอดส่อง เก็บข้อมูลบุคคลที่รัฐมองว่าเป็นภัย
2.รัฐบาลเตรียมออกกฎหมายให้ตัวเองลอยนวล กรณีบริหารจัดการวัคซีนผิดพลาด โดยอ้างเรื่องบุคลากรสาธารณสุขด่านหน้าเป็นเกราะกำบัง
ประเด็นแรก มาจากการ “เอกสารหลุด” โดย รังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล นำมาเปิดเผยต่อสาธารณะ
เป็นรายชื่อบุคคลที่ถูกจับตา หรือ watchlist 183 รายชื่อ และบัญชีโซเชียลมีเดีย 19 บัญชี
จำแนกเป็นกลุ่ม พบว่า ส่วนหนึ่งคือนักการเมืองอดีตพรรคอนาคตใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ปิยบุตร แสงกนกกุล, พรรณิการ์ วานิช, ชัยธวัช ตุลาธน, พิธา ลิ้มเจริญรัตน์, อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล รวมถึง รังสิมันต์ โรม
ต่อมาเป็นกลุ่มนักกิจกรรม, NGOs, ทนายความ
และอีกกลุ่มใหญ่ก็คือคนรุ่นใหม่ ซึ่งมีอยู่ในบัญชีนี้มากที่สุด และที่น่าตกใจคือมีเยาวชนที่อายุไม่ถึง18 ปี อยู่ในบัญชีนี้ด้วยถึง 3 คน
นี่คืออะไร? รัฐเห็นประชาชนเป็นอะไร? ศัตรูอย่างนั้นเหรอ?
ดูจากรายชื่อตอนนี้ สิ่งที่กำลังทำอยู่ไม่ใช่เพื่อความมั่นคงของรัฐแน่ๆ แต่เป็นความมั่นคงของ“รัฐบาล” ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่างหาก
เป็นความผิดปกติแน่ๆ ที่เราปล่อยให้ “รัฐ” กระทำกับประชาชนอย่างนี้ได้
ถ้าจะบอกว่ารายชื่อที่เอ่ยมานั้น “ไม่น่าแปลกใจ รัฐต้องจับตาเป็นธรรมดา” อย่างนั้นยิ่งไม่ใช่ เราไม่ควรปล่อยให้รัฐละเมิดสิทธิประชาชนเป็นเรื่องปกติสิถึงจะถูก
ลองเป็นตัวเราเองดูบ้าง เกิดมีใครไม่รู้มานั่งเฝ้าหน้าบ้าน ขับรถตาม เผลอไม่ได้เป็นแอบถ่ายรูปเราไว้ -เราจะรู้สึกอย่างไร? สุขกายสบายใจไหม?
และที่สำคัญ “รัฐ” ใช้อำนาจกฎหมายข้อไหนมาติดตามประชาชน?
พูดก็พูดเถอะ การกระทำตามอำเภอใจแบบนี้ แถวบ้านผมเรียกว่า “เถื่อน”
ประเด็นที่สอง มาจาก “เอกสารหลุด” โดย วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.พรรคก้าวไกล นำมาแถลงข่าวเปิดเผยต่อสาธารณะ
คือเอกสารการนำเสนอแนวทางปรับปรุงกฎหมายเพื่อเพิ่มความคุ้มครองบุคลากรการแพทย์ในสถานการณ์โควิด ในนาม “พ.ร.ก.จำกัดความรับผิดสำหรับบุคลากรสาธารณสุข ในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พ.ศ….”
ที่เป็นประเด็นคือ มีข้อหนึ่งที่ระบุผู้ที่ไม่ต้องรับผิด รวมไปถึงผู้บริหารจัดการวัคซีนด้วย
ยังไม่มีการปฏิเสธว่าเอกสารดังกล่าวจริงหรือเท็จ
แต่ดูแล้วน่าจะจริง ในวันที่รัฐบาลบริหารสถานการณ์โควิดผิดพลาด มีผู้ติดเชื้อ มีผู้เสียชีวิต เป็นจำนวนมาก การเอาตัวรอดแบบนี้ก็เป็นปกตินิสัยของคนใน “ระบอบประยุทธ์” ไม่ใช่เหรอ?
จะอ้างว่า เพื่อปกป้องบุคลากรสาธารณสุขด่านหน้า พิจารณาแล้วก็เห็นจะเป็นเพียงเรื่องเอามาบังหน้าอย่างหน้าด้าน
เพราะหมอและพยาบาล ต่างก็มีกฎหมายคุ้มครองอยู่แล้ว หากความเสียหายเกิดจากหมอ พยาบาลปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ได้จงใจหรือไม่ได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ก็ไม่ต้องรับผิด และไม่ถูกฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน แต่หน่วยงานต้นสังกัดต้องถูกฟ้องแทน
ดังนั้น นี่จึงมองได้ว่ารัฐบาลและผู้บริหารกำลังจะออกกฎหมายเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด ใช่หรือไม่?
จากการที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากใช่หรือไม่? จากการจัดหาวัคซีนไม่ได้ตามเป้าใช่หรือไม่? จากความวุ่นวายในการกระจายวัคซีนใช่หรือไม่? จากการฉีดไขว้ฉีดผสมที่ไม่มีการรับรองใช่หรือไม่?
ความครอบคลุมไปถึง “ผู้ออกนโยบาย” นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่า “เหมาเข่ง”
ซ้ำยังจะ ออกเป็น “พระราชกำหนด” โดยที่ไม่เข้าข่าย “กรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้”
ซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่าต้องเข้า 4 เหตุ คือ “เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ”
เพราะ “พระราชกำหนด” ไม่ต้องผ่านการตราโดยสภาผู้แทนราษฎร
นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่า “ลักหลับ”
บริหารผิดพลาดเอง ออกกฎหมายนิรโทษกรรมเอง อย่างชนิดที่เรียกว่าไม่สนใจหลักนิติรัฐนิติธรรมใดๆ ทั้งสิ้น
พูดก็พูดเถอะ การกระทำตามอำเภอใจแบบนี้ แถวบ้านผมเรียกว่า “อุกอาจ”
จาก “watchlist” ถึง “พ.ร.ก.นิรโทษเหมาเข่ง” 2 ประเด็นร้อนในขณะนี้
สรุปได้ด้วย 2 คำจำกัดความสั้นๆ ว่า “เถื่อน – อุกอาจ”
ถามย้ำใจตัวเองดูอีกครั้ง เราจะอยู่กันแบบนี้จริงๆ เหรอ?