ติดตามมา 2 วัน 2 คืน เรียกได้ว่าไปกันแบบยาวๆ กับข้อถกเถียงเรื่อง งบประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาทที่ตัดได้ในชั้น กมธ.พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565
สุดท้ายผลโหวตแปรญัตติคือส่งไปให้ “งบกลาง”
งบกลาง อันเป็นงบประมาณที่นายกรัฐมนตรี ที่ชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีอำนาจในการบริหารจัดการได้อย่างเต็มที่
ข้อถกเถียงที่เกิดขึ้น มาจาก กมธ.ในส่วนของพรรคฝ่ายค้านซึ่งเห็นไม่ตรงกัน โดยในส่วนของพรรคเพื่อไทยนั้นหนุนให้เงินก้อนนี้ไปอยู่ที่งบกลาง ขณะที่พรรคก้าวไกลหนุนให้คืนหน่วยรับงบประมาณที่ขอมา
อาทิ หน่วยรับงบประมาณอย่าง กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น, สำนักงานกองทุนหลักประกันสุขภาพ, กองทุนเพื่อคความเสมอภาคทางารศึกษา, กองทุนประกันสังคม เป็นต้น เพื่อให้หน่วยงานเหล่านี้ได้ใช้จ่ายโดยตรง ไม่ต้องมีการเสนอโครงการไปขอนายกรัฐมนตรีที่งบกลาง
ข้ออ้างของฝ่ายสนับสนุนไปไว้ที่งบกลาง คือ วันนี้ประเทศมีวิกฤตโควิด-19 มีคนถูกเลิกจ้าง มีคนตกงาน มีคนอดตาย ทรัพยากรทั้งหมดต้องเอาไปใช้ช่วยเหลือประชาชน
ฟังดูก็เหมือนว่าจะดี ถูกต้อง ในสถานการณ์นี้
หากแต่โดยแท้จริงแล้ว ในทางปฏิบัติแล้ว งบกลางที่นายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการบริหารจัดการได้อย่างเต็มที่นี้ จะไปถึงมือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิดจริงเหรอ?
แม้ในหลักการจะระบุว่า ต้องใช้จ่ายในการแก้ปัญหาโควิด ช่วยเหลือประชาชนที่กำลังเดือดร้อนจากเรื่องนี้ ถึงจะใช้งบประมาณก้อนนี้ได้
แต่พูดก็พูดเถอะ โครงการบ้าๆ บอๆ แบบไหนก็สามารถที่จะอ้างเรื่อง “โควิด” ได้ทั้งนั้น
ผมลองคิดเร็วๆ สมมติอยากช่วยเหลือบรรดาผู้ประกอบการไก่ชน ก็อาจจะให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอโครงการ “ชนไก่วิถีใหม่สู้ภัยโควิด เทิดพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และฉลอง 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์”
ชื่อยาวๆ โหนๆ แบบนี้มีเหรอจะไม่ผ่าน
แต่เอาล่ะ นี่เพียงเรื่องสมมติ ถ้าจะดูของจริงก็มีหลายโครงการมากที่เคยขอผ่านงบกลางที่อ้างว่าเอาไปสู้โควิด
อาทิ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ขอไป 2,000 ล้านบาทโดยมีเอกสารมาแค่ 4 หน้ากระดาษไม่มีรายละเอียดอะไร, สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ขอไป 440 ล้าน เพื่อทำพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐ หรือ State Quarantine ทั้งที่ควรจะเป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย
หรืออย่าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอไป 392.77 ล้าน เพื่อใช้ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง ระหว่างวันที่ 1 ต.ค.63 – 31 ม.ค.64 ซึ่งโดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการอนุมัติงบฯ ไปจัดการม็อบ
นี่เพียงตัวอย่างบางส่วนของการใช้ “งบกลาง” สู้โควิด
อย่างไรก็ตาม ปัญหาใจกลางของการสู้กับโควิดที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ ไม่ได้อยู่ที่การต้องรวมทรัพยากรไปไว้ที่เดียวกันแล้วจัดการ ไม่ใช่ว่าเราไม่มีงบประมาณในการจัดการ
เพราะที่ผ่านมารัฐบาลก็สู้โควิดมาแล้วทั้งผ่าน พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท และ พ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท
ถามว่าใช้เงินทั้ง 2 ก้อนนี้ “สู้” แล้ว “ไทยชนะ” หรือไม่? เราผู้พอมีสติสัมปชัญญะอยู่บ้างก็น่าจะพอตอบได้ประเทศไทยไม่ได้ขาดงบฯ สู้โควิดโควิด แต่เราขาดเซลล์สมองของผู้นำประเทศ
ชวนคิดกันด้วยภาพการ์ตูนหน้า 5 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐวันนี้ (4 สิงหาคม) ชื่อเรื่อง “ม้ากลางศึก” ซึ่งเป็นรูปม้าตัวหนึ่งที่ยืนอยู่บนยอดเขา ขณะที่ประชาชนสู้โควิดกันอยู่ด้านล่าง พร้อมตะโกนเรียกม้าว่า“เร็วๆ ลงมาช่วยกันหน่อย ข้างล่างกำลังแย่”
ม้าตะโกนตอบกลับว่า “ไม่อ่ะ… เค้าจะเวิร์คฟรอมโฮม”
ผมดูเจ้าสัตว์ตัวนั้นอย่างไร ดูกี่ที ดูกี่รอบ ก็มองไม่เป็นม้า เพราะมันช่างเหมือน “ลา” มากกว่า
เป็น “ลาโง่” ซึ่งกักตัว “เวิร์คฟรอมโฮม”
แล้วเรายังจะประเคนงบประมาณที่ตัดมาได้ไปงบกลางเพื่อให้ “ลาโง่ที่เวิร์คฟรอมโฮม” ใช้ ถ้าเป็นอย่างนี้ ต้องมีอะไรผิดพลาดในความคิดของเราแน่ๆ
ยืนยันอีกครั้ง ประเทศไทยไม่ได้ขาดงบฯ สู้โควิด แต่เราขาดเซลล์สมองของผู้นำประเทศ