ยังจำได้ไม่ลืมว่า ในช่วงหัวค่ำของวันนั้นที่ทราบข่าว พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ “เสธแดง” นายทหารที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าสนับสนุนการชุมนุมของคนเสื้อแดง ถูกสไนเปอร์ยิงบริเวณแยกศาลาแดง ผมกำลังนั่งรถกลับจากการไปทำข่าวชิ้นหนึ่งที่ต่างจังหวัด
ในยุคที่โซเชียล มีเดีย ยังไม่แพร่หลาย ข่าวสารที่รับรู้ได้รวดเร็วที่สุดก็คือการที่มีคนโทร.มาบอกนั่นเอง
ผมทราบข่าวจากเพื่อนที่โทร.มาพร้อมอารมณ์โกรธ ความแค้นสั่งสมมาตั้งแต่ได้เห็นความเลวร้ายในเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 ที่แยกคอกวัว เสียงปลายสายจึงเต็มไปด้วยคำผรุสวาทและกราดเกรี้ยว เมื่อผนวกกับการที่เสธแดงถูกลอบยิง เราสัมผัสได้เลยว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเข่นฆ่าผู้ที่เห็นต่างทางการเมืองครั้งใหม่ และในที่สุดก็กลายเป็นเหตุอาชญากรรมรัฐอำมหิตที่มีชื่อในภาษาคนดีว่า “กระชับวงล้อม”
13 พฤษภาคม 2553 หรือวันนี้เมื่อ 12 ปีที่แล้วภายหลังฝ่ายอนุรักษ์นิยมจารีตได้เป็นรัฐบาลโดยการหนุนหลังของทหาร ผ่านเหตุการณ์ (ที่มีชื่อในภาษาคนดีว่า) “ขอคืนพื้นที่” เวทีชุมนุมสะพานผ่านฟ้า ที่ทำให้มีคนตายทั้งพลเรือน ทหาร และผู้สื่อข่าว รวมแล้ว 27 ราย ความสำเร็จของผู้กุมอำนาจรัฐคือ ได้กล่อมเกลาสังคมโดยให้ภาพของผู้ชุมนุม “เสื้อแดง” ดูโหดร้ายได้เต็มที่แล้ว และก็ได้เวลาจัดการ
ข้อกล่าวหาเหล่านั้น อาทิ ไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ และมีผู้ก่อการร้ายนำอาวุธสงครามเข้ามาในพื้นที่ชุมนุม, มีการสร้างสถานการณ์เพื่อนำไปสู่การจราจลเพื่อก่อการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง
และแน่นอนอีกหนึ่งข้อกล่าวหาที่ “คลาสสิก” ที่ใช้เป็นเครื่องมือปราบปรามผู้เห็นต่างกับตนได้ดีชะงัดนั่นก็คือ “ล้มเจ้า”
ด้วยการกล่อมเกลา ด้วยการให้ภาพแบบนี้ ไม่แปลกที่คนกรุงคนเมืองรวมถึงสื่อกระแสหลักส่วนใหญ่จะเห็นว่า “คนเสื้อแดง” เหมือนสิ่งเลวร้ายน่าเกลียดน่ากลัว หลายคนเลี่ยงไม่อยากเข้าใกล้ หลายแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น ขณะที่อีกหลายคนก็มีท่าทีเกรี้ยวกราดออกมารวมกลุ่มแสดงท่าทีทำนองว่า ‘ใครก็ได้มาปัดกวาดเชื้อโรคร้ายนี้ออกไปจากหน้าบ้านฉันเสียทีเถอะ’
ผมในฐานะสื่อมวลชน มีโอกาสได้เข้าไปในพื้นที่ชุมนุมบ่อยครั้ง ได้สัมผัส พูดคุยกับคนเสื้อแดงเป็นจำนวนมาก เห็นใจ เข้าใจ ข้อเรียกร้อง ตลอดจนพยายามนำเสนอข้อมูล ข้อเท็จจริงออกไปให้มากที่สุด โดยเฉพาะในส่วนของ “ความหลากหลายของคนเสื้อแดง” ซึ่งในการชุมนุมของคนเรือนแสนนี้ ได้กลายเป็นที่หลอมรวมของผู้คนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากโครงสร้างรัฐที่บิดเบี้ยว มากที่สุด
แน่นอนว่าในฐานะสื่อมวลชนคนหนึ่ง ในฐานะปุถุชนคนหนึ่ง ผมย่อมโดนตราหน้าว่าเป็น “ควายแดง”
แต่แน่นอน ผมชั่งตวงวัดและตัดสินใจแล้วที่จะพยายามทำความเข้าใจกับสังคม ว่า “วาทกรรม” แบบไหนที่รัฐสร้างทำให้ผู้ชุมนุมกลายเป็นปีศาจ กับแค่คนที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม คนที่หวังเพียงต้องการให้รัฐบาลซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน “ยุบสภา” แล้วเลือกตั้งใหม่ หากแต่สิ่งที่ประชาชนได้รับกลับเป็นกระสุนปืนและความตาย รวมถึงบาดเจ็บพิการ
แต่สุดท้าย แม้จะทำหน้าที่อย่างเต็มที่เพียงใด แต่ข้อเขียนรวมถึงรายงานข่าวของผมก็มีพลังน้อยกว่าเมื่อเทียบกับข้อมูลข่าวสารที่รัฐบาลยัดเยียดให้กับประชาชน
“ผังล้มเจ้า” ที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. เคยนำออกมาแถลงข่าวอย่างเป็นจริงเป็นจังนั่นหนึ่ง, การฉายภาพกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านการชุมนุมของคนเสื้อแดง บอกว่าเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบเดือดร้อนนั่นหนึ่ง, การแถลงโชว์อาวุธที่บอกว่ายึดมาได้จากเวทีการชุมนุมของคนเสื้อแดง โดยมีคุณหญิงหมอที่วันนี้มีตำแหน่งเป็น ส.ว. มาจัดๆ เรียงๆ วางๆ ให้สื่อเก็บภาพ นั่นก็อีกหนึ่ง ฯลฯ
กลุ่มขบวนการก่อการร้าย – ต้องการก่อจราจลเพื่อนำไปสู่การปฏิวัติ – ต้องการล้มล้างสถาบัน! แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ภาพของคนเสื้อแดงเลวร้าย และรัฐบาลมีความชอบธรรมในการปราบปราม
การปราบปรามที่ว่ากันว่า แท้จริงแล้วได้มีการเตรียมการ มีแผนการ มียุทธวิธีโดยทหารพร้อมสรรพมาเนิ่นนานแล้ว ซึ่งแม้ไม่มีการเจรจาปรองดองเจรจาสันติที่ล้มเหลว แม้ไม่มีเหตุการณ์คนร้ายยิงปืนและปาระเบิดใส่เจ้าหน้าทีตำรวจ, แม้ไม่มีการแถลงเรื่องพบคลังแสงคนเสื้อแดง อย่างไรก็ตาม การล้อมปราบภายใต้คำว่า “กระชับวงล้อม” ก็จะยังเกิดขึ้นอยู่ดี
13 พฤษภาคม 2553 มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงฉบับที่ 2 ขณะที่ โฆษก ศอฉ. แถลงว่า ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ศอฉ. จะปิดล้อมสกัดกั้นพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ เพื่อกดดันให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ โดยแบ่งปฏบัติการเป็นสี่เหลี่ยมรอบแยกราชประสงค์ ปิดการจราจร ปิดบริการสาธารณะทุกชนิด ไม่อนุญาตให้บุคคลเข้าไปในพื้นที่เว้นแต่ผู้อาศัยในเขตดังกล่าวซึ่งต้องนำหลักฐานมาแสดง
และ “สี่เหลี่ยมรอบแยกราชประสงค์” นี่เองที่กลายเป็น “เขตใช้กระสุนจริง”
ผมได้เห็นกับตาตัวเอง และกลายเป็นภาพจำมาจนทุกวันนี้ชีวิตหนึ่ง บริเวณแยกสามเหลี่ยมดินแดง โดยระหว่างที่ปักหลักรอสังเกตการณ์ทำข่าวอยู่บริเวณนั้น นอกเขตใช้กระสุนจริง จู่ๆ ก็เห็นชายคนหนึ่งเดินถือถุงดำอยู่บริเวณใต้สะพานข้ามแยก เดาว่าน่าจะเป็นคนสติไม่สมประกอบหรือไม่ก็คนจรจัด ซึ่งโผล่มาจากไหนไม่มีใครรู้
แล้วจู่ๆ ก็ “ปัง” เสียงปืนไม่ทราบทิศ ร่างนั้นร่วงกองลงกับพื้น และเหมือนเขาจะพยายามยันกลายลุก แต่กระสุนนัดต่อมาก็ซ้ำจนลงไปนอนแน่นิ่ง
น่าจะมีคนแจ้งเหตุ สักพักพยาบาลอาสา 2 คนก็ซ้อนมอเตอร์ไซค์มาถึง พวกเขามีท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเข้าไปนำร่างคนเจ็บออกมา กากบาทสีแดงที่ติดอยู่บนเสื้อสำหรับประเทศเถื่อนๆ นี้ ทั้งคู่คงประเมินแล้วว่าคงไม่มีความหมายอะไร การหาเสื้อสี่ขาวติดปลายไม้เป็นสัญลักษณ์ว่า “โบกธงขาว” ยอมแพ้ และการไหว้กราดไปทุกสารพัดทิศเพราะไม่รู้ที่มาของกระสุน ช่วยให้พวกเขามีความกล้าเข้าไปนำร่างนั้นออกมาได้มากกว่า
ผมไม่แน่ใจว่าชายคนนั้นเป็นตายร้ายดีอย่างไร เพราะไม่ทันที่จะได้เข้าไปติดตามสอบถามอาการ บริเวณจุดใกล้ๆ กับที่พวกผมซุ่มดูอยู่ก็โดนระเบิดลงจนต้องกระจัดกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง
“การใช้กระสุนจริงนั้น เจ้าหน้าที่ไม่ได้ต้องการที่จะทำร้ายประชาชนถึงชีวิต เพียงแต่ต้องการที่จะหยุดยั้งการปฏิบัติที่ผิดกฎหมายและการพยายามเข้าถึงตัวเจ้าหน้าที่” คำแถลงของโฆษก ศอฉ. ชวนให้กัดฟันโกรธทุกครั้งที่มีคนตาย
ศอฉ. เคยบอกว่า กระสุนจริงจะใช้ใน 3 กรณี คือ 1. การยิงข่มขวัญขึ้นฟ้า 2. การยิงเพื่อป้องกันชีวิตของเจ้าหน้าที่ที่จะถูกทำร้ายหมายปองเอาชีวิตและไม่สามารถหลีกเลี่ยงเป็นอย่างอื่นได้ และ 3. การยิงไปยังบุคคลที่มีอาวุธอยู่ในมือ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนและแน่นอน ถือว่าเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ติดอาวุธ
ทั้ง 3 ข้อ ขัดกับสิ่งที่ผมได้เห็นกับตาตัวเอง
ไม่มีการยิงข่มขึ้นฟ้า มีแต่การยิงลงมาจากฟ้า บนตึกสูงไหนไม่รู้เข้ากระบาลชายเร่ร่อนจรจัดคนนั้น ที่คงไม่มีปัญญาไปทำร้ายหมายปองเอาชีวิตใครได้แน่ๆ และถ้าอาวุธอย่างเดียวที่เขาจะมีอยู่ในมือ และทำให้ต้องกลายเป็นผู้ก่อการร้ายได้ นั่นก็น่าจะเป็นถุงดำที่ภายในมีเพียงขวดเปล่า กระป๋องน้ำอัดลม ฯลฯ ที่เขาจะนำไปขายให้กับซาเล้งรับซื้อของเก่าเพื่อพอมีรายได้หากินยาไส้ไปแต่ละวัน
จาก 13 พฤษภาคม 2553 เป็นต้นมา มีคนตายรายวัน และวันละหลายๆ คน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ สมาพันธ์ ศรีเทพ หรือ “เฌอ” วัย 17 ปี น้องชายในกลุ่มที่ร่วมหัวจมท้ายในชีวิตวัยแสวงหาของพวกเรา เขาถูกยิงเสียชีวิตบนถนนราชปรารภ ปากซอยรางน้ำ เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 15 พฤษภาคม
13 พฤษภาคม 2553 หรือวันนี้เมื่อ 12 ปีที่แล้ว เริ่มต้นปฏิบัติการ “กระชับวงล้อม” หรือแท้จริงแล้วคือยุทธการ “รุมยิงนกในกรง” ?
อาชญากรรมรัฐที่ “ความจริง” ยังไม่ปรากฏ “ความยุติธรรม” ไม่เคยมาถึง