09.09 น. วันที่ 9 เดือน 9 พ.ศ.2563 ถือเป็นฤกษ์ยามในพิธีบรรจุอัฐิผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2535
หลังจากผ่านกาลเวลามาถึง 28 ปี ในที่สุดอัฐิของผู้เสียชีวิต อาจรวมถึงดวงวิญญาณของผู้สูญหายจากเหตุการณ์ทั้งหมดก็ได้มีประจักษ์พยานปรากฏเป็นหลักแหล่ง ณ “อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม” สวนสันติพร ถ.ราชดำเนินกลาง บนเนื้อที่กว้างขวาง ในลักษณะสวนสาธารณะกลางเมือง ที่เปิดต้อนรับผู้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ จะใช้เป็นเวทีไฮด์ปาร์ค ปราศรัย อย่างไรก็ได้แล้วแต่ความมุ่งหมาย
ท่ามแดดเช้าที่แผดแสงแรงร้อน ในขณะที่ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พาฝนมาให้กำลังโหมกำหน่ำหลายพื้นที่ของประเทศไทยในขณะนี้ ญาติวีรชนและบุคคลต่างๆ เข้าร่วมพิธีบรรจุอัฐิอย่างคับคั่ง น้ำ อาหาร ขนมหวานมีแจกให้บริการฟรีแก่ทุกคน
อดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 2535, โคทม อารียา ประธานมูลนิธิพฤษภาประชาธรรม, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี, ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ, พิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร รวมถึงตัวแทน พรรคก้าวไกล นำโดย ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค, สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ, สุเทพ อู่อ้น ส.ส.บัญชีรายชื่อ, ทวีศักดิ์ ทักษิณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ขณะที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ก็เป็นหนึ่งในผู้มาร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วย
อนุสรณ์รำลึกการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย – ไม่เอา “รัฐประหาร”
พิธีการเริ่มตรงเวลา 09.09 น. ด้วยการที่อาจารย์โคทม ในฐานะประธานมูลนิธิพฤษภาประชาธรรม กล่าวเปิดงาน โดยระบุว่า วันนี้เป็นวันที่จิตวิญญาณของผู้ที่เสียสละชีวิตเพื่อร่วมกันสร้างประชาธิปไตยจะได้มีที่อยู่และมีที่ซึ่งพวกเราจะได้มาเยี่ยมเยียนวีรชนเหล่านี้ 28 ปี ผ่านไปก็มาถึงวันนี้ที่พวกเราได้มาอยู่ร่วมกันเพื่อรำลึก และน่าจะเป็นบทเรียนว่า การเดินทางสู่ประชาธิปไตย แม้อาจมีอุปสรรค แต่ทุกคนก็มีความมุ่งมั่นที่จะเดินต่อไป เพราะนี่คือจุดมุ่งหมายที่ต้องการให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนคนไทยทุกคน
อาจารย์โคทมชวนน้อมรำลึกดวงวิญญาณผู้จากไป รวมทั้งผู้สูญหายอีกจำนวนมาก และขอให้ทุกคนที่มาร่วมงานลุกขึ้นยืนไว้อาลัยเป็นเวลา 1 นาที
ขณะที่ หนึ่งในผู้ร่วมงานอย่างอดีตนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ ได้รับเกียรติให้ขึ้นกล่าวด้วย โดยระบุว่า เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์การเมืองที่สำคัญครั้งหนึ่งของเมืองไทย และเราต้องร้บภารกิจการสานต่อเจตนารมย์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยนั้นมาซึ่งยังเป็นภารกิจของทุกฝ่ายที่ต้องช่วยกันรับต่อ และเห็นว่าต้องก้าวข้ามหลายอย่างที่เกิดขึ้น
“เราอาจต้องเลิกตั้งคำถาม เริ่มที่คำว่า ‘ใครถูก ใครผิด’ เป็น ‘อะไรถูก อะไรผิด’ ช่วยกันสร้างสรรค์ที่ถูกต้อง เพื่อให้บ้านเมือง ประชาธิปไตยมีความก้าวหน้า สานต่อเจตนารมย์วีรชนที่ได้เสียสละ 28 ปีแล้ว” อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าว
จากนั้นเข้าสู่พิธีสงฆ์ ก่อนที่ญาติจะร่วมกันนำอัฐิที่ก่อนหน้านี้ฝากเก็บไว้ที่ “อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา” สี่แยกคอกวัว ถ.ราชดำเนิน นำบรรจุเขาสู่ฐานของ “อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม”
40 อัฐิที่ค้นพบ และอีกหลายสิบดวงวิญญาณได้มีบ้านอยู่
หลังเสร็จการบรรจุอัฐิทั้งหมด อดุลย์ ในประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 2535 ก็เดินไปตรงจุดอนุสรณ์สถานเพื่อกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ที่สุด เขาร้องไห้ออกมาต่อหน้าผู้คนที่มาร่วมงาน ในฐานะพ่อผู้ที่สูญเสียลูกชายในเหตุการณ์เมื่อ 28 ปีที่แล้ว
อดุลย์ กล่าวว่า วีรชนตอนนี้มีบ้านอยู่แล้ว รวมถึงลูกของตนเองด้วย สิ่งที่จะบอกคือสถานที่นี้จะคอยเป็นเครื่องทรงจำว่า การจะใช้ความรุนแรงต่อกันต้องคิดให้รอบคอบ สำหรับความวุ่นวายในปัจจุบัน ข่าวการรัฐประหาร ญาติวีรชนพฤษภาคม 2535 เราขอประกาศว่าไม่เห็นด้วย ขอให้คิดให้รอบคอบ จะทำไปเพื่ออะไร เพราะทำไปมีแต่ความเสียหาย อยากให้อนุสรณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจนั้น
“ขอเรียกร้องต่อสภา ให้รีบแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อนำความสงบสุขมาสู่บ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขอเรียกร้องต่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สิ่งที่ท่านทำมาตลอดนั้นล้มเหลวทุกด้าน โดยเฉพาะการสร้างความปรองดอง ความสามัคคีไม่เกิดขึ้น และยังกลับเป็นตัวปัญหา วันนี้ยิ่งมีข่าวลือเรื่องรัฐประหาร ท่านต้องลาออก เพื่อถอดสลักความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น” อดุลย์ กล่าว
ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 2535 เชื่อมั่นว่า ถ้ามีรัฐประหารเกิดขึ้น คนรุ่นใหม่จะไม่ยอม ดังนั้น ต้องคิดให้ดีก่อนที่จะทำ วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเสียสละด้วยการลาออกจากตำแหน่ง เพื่อถอดสลักความรุนแรง การรัฐประหารจะไม่ทำให้เรื่องจบโดยง่าย เพราะคนรุ่นใหม่ฉลาดกว่าคนรุ่นเก่า ฉลาดกว่าคนรุ่นพ่อแม่ที่ถูกทำให้หลงทางวนไปวนมา จนวันนี้คือไม่เห็นอนาคต ตนขอให้กำลังใจนักเรียนนักศึกษาให้เดินหน้าต่อไป สิ่งที่เรียกร้องคืออนาคตของท่าน
กล่าวจบ อดุลย์ เดินไปหาธนาธรซึ่งยืนดูพิธีการและคุยกับอาจารย์โคทมอยู่วงนอก อดุลย์ขอจับมือธนาธร พร้อมกับกล่าวว่า ขอบคุณที่จะร่วมแก้ไขปฏิรูปบ้านเมือง วันนี้เหตุการณ์บ้านเมืองเลวร้ายยิ่งกว่าตอนเกิดเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 เราหวังว่าคนรุ่นใหม่ นักเรียน นิสิตนักศึกษา ที่ฉลาดกว่าคนรุ่นเก่า ไม่ถูกหลอกให้ไปอยู่ในวังวนเก่าและกลับมาเหมือนเดิมอีก
“การรัฐประหารไม่มีทางจบได้ ที่ผ่านมาโกหกทั้งนั้น ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น มีแต่ประเทศชาติจะเลวร้ายลงไปอีก ก็หวังว่าทุกคนที่จะใช้ความรุนแรง ให้ดูอนุสรณ์นี้ไว้เป็นที่ระลึก และอย่าทำอีก” เสียงประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 2535 กล่าวย้ำหนักแน่น
รัฐธรรมนูญ” ไม่เคยได้มาจากอภิสิทธิ์ชนมอบให้ – ประชาชนต้องลุกขึ้นมาเรียกร้องเอง
จากนั้น ธนาธร กล่าวกับสื่อมวลชนจำนวนมากว่า เรามาร่วมกันบรรจุอัฐิของวีรชนเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 เข้าสู่อนุสรณ์สถาน ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้เป็นบทเรียนให้กับเราแล้วว่า การทำรัฐประหารไม่ได้ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น การทำรัฐประหารปี 2534 นำมาสู่เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 การทำรัฐประหมาร 2549 นำมาซึ่งเหตุการณ์เมษายน – พฤษภาคม 2553 ได้พิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า การรัฐประหารแก้ปัญหาประเทศไม่ได้
“เพราะถ้ามันทำได้ประเทศคงพัฒนาไปไกลแล้ว !” คือประโยคที่ธนาธรย้ำอยู่บ่อยครั้งในหลายๆ เวที
ธนาธร กล่าวอีกว่า เราต้องกลับมาเชื่อมั่นในพลังประชาชน เชื่อมั่นในการแสวงหาทางออกให้สังคมภายใต้ระบอบประชาธิปไตย เพราะถ้าเราแสวงหาได้ก็ไม่จำเป็นต้องมีรัฐประหาร ไม่จำเป็นต้องพึ่งนายกรัฐมนตรีคนนอก เราประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ เราประชาชนร่วมแสวงหาทางออกให้สังคมได้โดยไม่ต้องพึ่งอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และวิธีการที่จะได้มาซึ่งทางออกนั้น คือ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนขึ้นมาใหม่
“นี่คือทางออกทางเดียวที่เหลืออยู่ เพราะรัฐธรรมนูญคือข้อตกลงในการอยู่ร่วมกันของสังคม ว่าคนไทยทั้งสังคม เราอยากจะอยู่ร่วมกันแบบไหน อยากจะเติบโตสร้างอนาคตแบบไหน ภายใต้กฎกติการอย่างไร อำนาจจะถูกจัดสรรปันส่วนในสถาบันการเมืองต่างๆ อย่างไร ซึ่งวันนี้เราไม่มีข้อตกลงนี้ ข้อตกลงเพื่อที่จะอยู่ด้วยกันอย่างสันติ อย่างไม่ต้องใช้การทำรัฐประหารแก้ปัญหา เราต้องมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่ทุกฝ่ายยอมรับด้วยกัน
“แต่ปัญหาก็คือ การจะมีรัฐธรรมนูญที่ทุกฝ่ายยอมรับนั้นได้มายากเหลือเกิน มีแต่การลุกขึ้นเรียกร้องของพี่น้องประชาชนเท่านั้น รัฐธรรมนูญนี้ไม่ได้มาจากการหยิบยื่นให้ของอภิสิทธิ์ชน แต่มาจากการต่อสู้อย่างแข่งขันของประชาชน” ธนาธร กล่าว
ในฐานะที่มีโอกาสได้ไปทำงานในสภาผู้แทนราษฎร ได้พูดคุยกับ ส.ส. พรรคการเมืองต่างๆ อยู่บ้าง ธนาธร ให้ข้อมูลยันว่า นักการเมืองในสภาส่วนใหญ่ไม่ได้มีเจตจำนงเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ
“ที่ผลักดันมาถึงจุดนี้ได้มาจากการเรียกร้องของเยาวชน นักเรียน นักศึกษาและประชาชนข้างนอกสภา เพราะถ้าปล่อยให้กลไกรัฐสภาดำเนินไป ไม่มีทางได้แก้รัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน” ธนาธร กล่าว และว่า การแก้รัฐธรรมนูญจะทำได้ ประชาชนต้องลุกขึ้นมาเรียกร้อง นี่คืออนาคตของพวกคุณ ถ้าคุณไม่เรียกร้องแล้ว ไม่มีใครเรียกร้องให้ ทั้งนี้ หลายคนอาจห่วงเรื่องความรุนแรงสำหรับการชุมนุม ถามว่า จะเกิดความรุนแรงได้อย่างไร ถ้าคิดกลับ ความรุนแรงถ้าจะเกิดขึ้นก็มาจากเจ้าหน้าที่รัฐ จากฝ่ายความมั่นคง ดังนั้น ต้องถามกลับไปที่เจ้าหน้าที่รัฐ ถามกลับไปที่รัฐบาล ว่าจะยอมให้มีการชุมนุมโดยสงบเกิดขึ้นได้หรือไม่
“เราอยู่ที่นี่ เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว วันนี้ ผมเห็นหลายคนร้องไห้ เห็นญาติวีรชนร้องไห้ เราอย่าให้กลับไปสู่จุดนั้นอีกเลย วันนี้ผ่านมา 28 ปี แต่บาดแผลสังคมยังไม่จางหายไป อย่าให้กลับไปสู่ความสูญเสียอีก อย่าให้ไปถึงจุดนั้นอีก เรามาร่วมกัน สร้างสังคมที่ดี ด้วยการร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นของประชาชน นำรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาใช้ และนับหนึ่งใหม่ นี่เป็นก้าวแรก การจะหาทางออกร่วมกัน ถ้าไม่ได้ก้าวนี้ ไม่ต้องพูดถึงรุ่นต่อไป ไม่ต้องพูดถึงความก้าวหน้าของสังคม ไม่ต้องพูดเรื่องอนาคตของลูกหลาน” ธนาธร กล่าว
มีผู้ถามประธานคณะก้าวหน้า กรณีมีคนออกมาเสนอเรื่องรัฐบาลแห่งชาติ ทำให้ อดุลย์ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ตอบแทนธนาธรทันทีว่า “ญาติพฤษภาไม่เอารัฐบาลแห่งชาติ” ธนาธร หัวเราะ ก่อนที่จะบอกว่า “มีคนตอบแทนผมแล้ว จุดยืนเดียวกัน”