สถานการณ์โควิด-19 อาละวาด ทำให้นักการศึกษาทั้งหลายต้องหามาตรการมาจัดการปัญหาชนิดที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ทีเดียว เมื่อนักเรียนปิดเทอมยาว อยู่บ้านนาน ก็อาจเกิดภาวะการเรียนรู้ถดถอย หรือ learning regression
ถ้าพูดให้เห็นภาพ ก็เป็นดังงานวิจัยของ “สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา” หรือ กสศ. ตอนหนึ่งที่ระบุว่า
“จากงานวิจัยพบว่าการที่เด็กต้องออกจากโรงเรียนประมาณ 6 สัปดาห์อาจจะทำให้ความรู้ของเขาหายไปถึงครึ่งปีการศึกษาโดยเฉพาะนักเรียนกลุ่มด้อยโอกาสหรือนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านต่างๆ”
แต่อย่างไรก็ตาม จะให้พาเด็กไปรวมตัวกันเพื่อเรียนหนังสือเป็นปกติก็ทำไม่ได้เช่นกัน
“เรียนออนไลน์“ จึงเป็นคำที่ใช้เรียกการเรียนรู้ในช่วงนี้
และดูเหมือนว่าหลายภาคส่วนพยายามพุ่งเป้าไปที่การใช้เทคโนโลยีแก้ปัญหานี้ ซึ่งอาจเป็นเพียงจิ๊กซอว์ชิ้นเดียว และยังเป็นชิ้นที่ไม่ใหญ่นักในภาพรวมของปัญหาทั้งหมด ดังที่เราได้เห็นข้อเสนอของกระทรวงศึกษาธิการเรื่องการจัดซื้อแทปเล็ต ซึ่งล้มเลิกไปแล้วเพราะเสียงคัดค้าน
ประเด็นที่ต้องคิดคำนึงถึงคือ การจัดการศึกษาที่เหมาะกับสภาพความเป็นอยู่ของแต่ละครอบครัว จากรายงานของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พบว่านักเรียนไทยเข้าถึงอุปกรณ์อย่างโทรศัพท์สมาร์ตโฟน และโทรทัศน์มากที่สุด
ดังนั้น การจัดการเรียนการสอนน่าจะต้องพึ่งพาอุปกรณ์เหล่านี้ในบางพื้นที่อยู่บ้าง แต่ก็ใช่ว่าบทบาทของครูจะลดลงไป จออาจจะเข้ามามีบทบาทแทน กลับกันครูจะต้องเพิ่มบทบาทฐานะผู้จัดการและสนับสนุนการเรียนรู้ ช่วยออกแบบบทเรียน แบบฝึกหัด ที่นักเรียนจะสามารถฝึกฝนกับอุปกรณ์เหล่านี้ รวมถึงหนังสือ ใบงาน และการทำกิจกรรมการเรียนรู้อื่นๆ
นี่จึงเป็นโจทย์อันท้าทายยิ่งสำหรับกระทรวงศึกษาธิการ ว่าจะสามารถช่วยให้บุคลากรมีทักษะเหล่านี้ ภายใต้ระยะเวลาอันจำกัดได้หรือไม่ ผู้บริหารมีความพร้อมเท่าใด การสนับสนุนเวลาและทรัพยากรได้รับการจัดสรรอย่างเสมอภาคและมีประสิทธิภาพหรือไม่
การเรียนการสอนโดยใช้อุปกรณ์จอต่างๆ นั้น เหมาะกับเด็กโตมากกว่าเด็กเล็ก ซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องการใช้จอซึ่งอาจส่งผลต่อพัฒนาการระยะยาว หากแต่สถานการณ์นี้ก็อาจทำให้ต้องใช้จอกับเด็กเล็กบ้าง
ประเทศอย่างสิงคโปร์ซึ่งใช้การเรียนรู้แบบ Home-based Learning หรือ HBL ที่บ้านเป็นฐานสำหรับเด็กปฐมวัยและประถมศึกษา โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน เป็นต้นมา
หลักการ HBL ไม่ซับซ้อนอะไรมากใช้ระบบออนไลน์ได้แต่ไม่ทั้งหมดต้องดูเรื่องพัฒนาการตามช่วงวัยเป็นสำคัญเน้นย้ำว่าสุขภาวะทั้งกายและใจของเด็กต้องมาก่อนอาหารถึงจัดการความเครียดด้วยความเข้าอกเข้าใจมีการให้การบ้านบ้างเรียนรู้เองผ่านช่องทางออนไลน์บ้างผสมผสานกับกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบอื่นๆตามแต่คุณครูจะออกแบบ
เริ่มทดลองทำจากหนึ่งวันต่อสัปดาห์ก่อน หากครอบครัวไหนขาดแคลน รัฐจะสนับสนุนการเข้าถึงอุปกรณ์ เช่น การแจกซิมการ์ด อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรือแทปเล็ต รวมถึงเงินสนับสนุนให้กับครัวเรือนที่มีเด็กเล็กเพื่อช่วยเหลือผู้ปกครองที่ไม่พร้อม
เบื้องต้นกระทรวงศึกษาธิการสิงคโปร์ได้ให้ยืมคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปหรือแท็ปเล็ตไปแล้ว 12,500 เครื่อง และอุปกรณ์ช่วยเข้าถึงอินเตอร์เน็ตอีก 1,200 เครื่อง เพื่อให้นักเรียนเข้าถึง Student Learning Space (SLS) หรือ แพลตฟอร์มการเรียนรู้ที่มีการบ้านและใบงานต่างๆ
นั่นเป็นเพราะรัฐอยากให้ผู้ปกครองได้ดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด ด้วยฝึกฝนการกำหนดตารางกิจวัตรประจำวัน การตั้งเป้าหมายระยะสั้น สร้างข้อตกลงการใช้หน้าจอร่วมกัน ช่วยกระตุ้นเชิงบวก ให้เด็กๆ เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่มาอย่างฉับพลันซึ่งอาจทำให้เกิดความเครียดได้
ข้อกังวลของสิงคโปร์ คือ เด็กๆ ในบ้านที่ต้องอยู่รวมกัน เช่น ในแฟลตที่แคบ ซึ่งเด็กๆ อาจไม่สามารถเรียนรู้ได้เนื่องมาจากสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม ในกลุ่มนี้และกลุ่มที่ขาดแคลน ผู้ปกครองจะได้รับการสนับสนุนจากโรงเรียนเรียน หากเด็กบ้านไหนจำเป็นต้องมาใช้พื้นที่โรงเรียน ก็เปิดให้มาใช้พื้นที่และอุปกรณ์ของโรงเรียน โดยรักษามาตรการรักษาระยะห่างอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเครียดของผู้ปกครองที่อยู่ดีๆ ก็ต้องลุกขึ้นมาช่วยจัดการเรียนรู้ของลูกๆ ทั้งที่ยังไม่พร้อม
อธิบายโดยง่ายคือ สิงคโปร์แก้สถานการณ์การเรียนรู้ในช่วงโควิด-19 ระบาด ด้วยการออกแบบการเรียนรู้โดยใช้บ้านเป็นฐาน อุดช่องว่างของผู้ปกครองให้ได้มากที่สุด ใครขาดอะไร ตรงไหน อย่างไร รัฐเข้าไปช่วยอุ้มชู ตามบริบทความจำเป็น
สรุปว่า ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน เพียงรัฐมุ่งมั่น ตั้งใจ ทำให้เด็กๆ ทุกคนได้เรียนรู้ในช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไม่ว่าเขาจะมาจากพื้นฐานครอบครัวแบบใด บนพื้นฐานความเข้าใจว่า ออนไลน์ ไม่ได้ตอบทุกโจทย์ และโจทย์ที่ต้องถามกว้างขวางกว่าเทคโนโลยีมากมายนัก เพราะถ้าตั้งโจทย์แคบ การแก้ปัญหาก็จะจำกัดอยู่ในวงแคบตามไปด้วย
ความตั้งใจจริงมาก่อนทุกสิ่งที่เขียนไปในบทความนี้
_____
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ :
- สถาบันวิจัย กสศ. ห่วงกลุ่มเด็กด้อยโอกาสการเรียนรู้ถดถอย หลังปิดเทอมนานขึ้น https://www.eef.or.th/97/?fbclid=IwAR1zItRC-yUc4zC8lygIfY0JUoNto2_sde59KI6SmE0SIh6ntIuUYkRtuOA
- “ถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้แบบ Home-based Learning (HBL) ของสิงคโปร์: มุมมองที่น่าคิดและนำมาปรับใช้สำหรับชั้นเรียนประถมศึกษาของประเทศไทยในช่วงเวลานี้” ผศ. ดร.ยศวีร์ สายฟ้า คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- “How home-based learning shows up inequality in Singapore – a look at three homes” https://www.straitstimes.com/lifestyle/how-home-based-learning-hbl-shows-up-inequality-in-singapore-a-look-at-three-homes