“ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาปสูญ
ไม่มีใครล้ำเลิศน่าเทิดทูน ประชาชนสมบูรณ์นิรันดร์ไป
เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่ ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่
เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน”
วิสา คัญทัพ
เรากำลังอยู่ในสถานการณ์บ้านเมืองที่ไร้ขื่อแป รัฐใช้อำนาจละเมิดและปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชนเพื่อกดปราบให้หวาดกลัว สิ้นหวัง เลิกใส่ใจต่ออนาคตของบ้านเมือง กระทั่งยอมจำนนต่อชะตากรรมที่เราไม่ได้เลือก ชนชั้นนำในรัฐเผด็จการอาศัยกลไกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น องค์กรศาสนา การศึกษา สื่อสารมวลชน ระบบยุติธรรม ฯลฯ เพื่อควบคุม แช่แข็ง และผูกขาดสังคมไทยให้เป็นที่พึงปรารถนาสำหรับพวกเขาเอาไว้เท่านั้น นี่ไม่ใช่สังคมในอุดมคติที่พวกเราอยู่ดีมีสุขเป็นแน่
พวกเขาไม่ต้องการให้เกิดความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน การแบ่งชนชั้นต้องมีอยู่เพื่อคงอภิสิทธิ์สถานะทางสังคมและเศรษฐกิจของที่เหนือกว่าของตนไว้ =ความรู้และการศึกษาที่ดีถูกจำกัด อนุญาตให้รู้เฉพาะเรื่องที่ถูกกำหนดมาให้รู้แล้วเท่านั้น ความรู้ที่ทำให้พวกเรามองเห็นความเป็นไปได้อื่น ๆ ถูกทำให้มองไม่เห็นไว้ตั้งแต่ต้น การตั้งคำถามต่อสิ่งต่าง ๆ เล็กๆ น้อยๆ รอบตัว ไปจนถึงเรื่องใหญ่ระดับโครงสร้างสังคมซึ่งทำให้เรา “ตื่นรู้ (Enlighten)” จากการครอบงำของพวกเขากลับเป็นสิ่งแปลกประหลาด
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมประเทศไทยจึงไม่ส่งเสริม “วัฒนธรรมการอ่าน” อย่างจริงจัง มีเรื่องที่ห้ามรู้และห้ามอ่านเต็มไปหมดในสังคม เพราะการรู้มากเป็นอันตรายต่อสถานะทางโครงสร้างของพวกเขาอย่างยิ่ง
เช่นเดียวกับสิทธิและเสรีภาพ พวกเรามีสิ่งเหล่านั้นได้เท่าที่พวกเขาอนุญาตให้มี ตราบที่ไม่ทำให้อำนาจและสถานะของพวกเขาสั่นคลอนก็สามารถทำได้ตามปกติ แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเริ่มตั้งคำถาม เรียกร้องถึงปัญหาปากท้อง ความไม่เท่าเทียม ความเหลื่อมล้ำ และความไม่ยุติธรรมในสังคมให้พวกเขาได้ยิน เมื่อนั้นกลไกรัฐก็จะทำงานและห้ามปรามทันที
นอกจากนี้พวกเขายังทำให้ “การเมือง” เป็นเรื่องของนักการเมืองที่สกปรก ชั่วร้าย และกระหายอำนาจ รังแต่จะสร้างขัดแย้งและความวุ่นวายให้บ้านเมืองจนประชาชนอย่างเราเลิกศรัทธาและสนใจ ‘การเมือง’ ไปเสีย เมื่อพวกเราเลิกสนใจการเมือง ก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา เพราะไม่มีใครมาคอยตรวจสอบว่าพวกเขาใช้งบประมาณไปกับเรื่องใดบ้าง ใช้อำนาจตามอำเภอใจหรือไม่
สังคมที่พวกเขาไม่พึงปรารถนา คือสังคมที่ทุกคนเสมอภาคและเท่าเทียม ปลอดอภิสิทธิ์ ผู้คนสามารถเข้าถึงสวัสดิการอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ทุกคนสามารถแสดงออกซึ่งเจตจำนงเสรีของตนในการใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องขอนุญาติใคร เปิดพื้นที่ให้กับคนทุกกลุ่มได้แสดงตัวตนและศักยภาพของพวกเขาอย่างเต็มทีโดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติ เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เหนือสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจ เราเรียกสังคมเช่นนี้ว่า ‘สังคมประชาธิปไตย’
ความพยายามที่จะใฝ่ฝันถึงและสร้างสังคมเช่นนี้ให้เกิดขึ้นจึงเป็น ‘การละเมิดปุ่มกลางสันหลังของพวกเขา’ พวกเขาจึงไม่ยอมให้สังคมเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นแน่ เพราะนั่นเป็นสัญญาณที่จะบอกว่าอำนาจและสถานะของพวกเขากำลังสิ้นสุดลงในไม่ช้า
ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาทำ คือ การทำลายเมล็ดพันธุ์แห่งความก้าวหน้า ความใฝ่ฝันถึงสังคมที่พวกเขาไม่พึงปรารถนาถูกทำให้เป็นเรื่องต้องห้ามและพยายามขัดขวาง ฉุดรั้งเพื่อไม่ให้เม็ดพันธุ์แห่งความก้าวหน้าหยั่งรากและเติบโตขึ้นมาในสังคมได้มากกว่านี้ และขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องการหวานเมล็ดพันธุ์แห่งความหวาดกลัวให้เติบโตและหยั่งรากลึกในสังคม เพื่อจำกัดให้พวกเราอยู่ในตำแหน่งแห่งที่ที่เหมาะสม ควรหรือไม่ควรทำสิ่งใด ฯลฯ เป็นสิ่งที่พวกเขากำหนดทั้งสั้น
นอกจากนี้ พวกเขายังทำให้เราเชื่อว่า สิ่งที่พวกเขากระทำอยู่นั้นเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์สุขประชาชน จึงต้องช่วยกัน หากจะถูกทำลายคนส่วนใหญ่ก็ต้องออกมาช่วยปกป้อง ซึ่งทั้งหมดเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขาไม่ใช่พวกเรา และในท้ายที่สุดก็ทำให้เรากลายเป็น “ทาสโดยสมัครใจ” เป็น “ผู้ยอมจำนน” โดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว
นี่เป็นความจงใจในการทำลายหลักการ “อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน” อันเป็นรากฐานและหัวใจของระบอบประชาธิปไตย นี่เป็นเชื้อมูลที่หล่อเลี้ยงให้พวกเขาอยู่ในอำนาจและกดขี่เราได้อย่างยาวนานยั่งยืนยง
เราจะอยู่ภายใต้การปกครองของผู้นำเผด็จการทหารมาครึ่งทศวรรษ ระบบและกลไกที่พวกเขาออกแบบมาเพื่อพวกเขาเองกำลังกัดกร่อนความชอบธรรมของพวกเขาลงทุกเมื่อเชื่อวัน เป็นระเบิดเวลาที่รอการปะทุ โจทย์ใหญ่ในทางการเมืองตลอดช่วงเวลา 10 กว่าปีมานี้คือ สังคมไทยไม่สามารถหาฉันทามติร่วมกันในวิกฤตการเมืองนี้ได้ ว่าพวกเราจะอยู่ในสังคมกันอย่างไร? จากนี้พวกเขาจะต้องเผชิญวิกฤตการณ์อำนาจนำที่พวกเขาต่างเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างมันขึ้นมา โดยจะค่อยๆเสื่อมสลายลงไป พวกเขาไม่สามารถครอบงำ บงการจิตใจของพวกเราให้คล้อยตามและเป็นทาสโดยสมัครใจได้อีกต่อไป เมื่อผู้คนกล้าที่จะลุกขึ้นมาตั้งคำถามต่อพวกเขาอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน
นี่จึงเป็นห้วงเวลาที่เหมาะสม เป็นห้วงเวลาประวัติศาสตร์ที่พวกเราจะต้องทวงคืนอนาคตที่ถูกพรากไปและสถาปนาให้ประชาชนกลับมาเป็นองค์ประธานทางการเมือง และสถาปนาหลักการที่ว่า “อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน” ลงหลักปักฐานในสังคมไทยให้มั่นคงอีกครั้ง
เอเตียน เดอ ลา โบเอตี (Étienne de La Boétie) นักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศสกล่าวถึงสภาวะที่แท้จริงที่เผด็จการยังสามารถอยู่ในอำนาจต่อไปได้ว่า “เผด็จการมีอำนาจเพราะคนเป็นทาสโดยสมัครใจ” หากไร้ซึ่งพวกเราเจ้าของอำนาจฉันใด ก็ไม่มีพวกเขาก็ไม่มีอำนาจฉันนั้น
เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่ายังคงดำเนินต่อไป Common School ขอเสนอซีรีย์บทความชุด ‘ขอบฟ้าความเป็นไปได้’ บทความชุดเกี่ยวกับขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยจากหลากมุมทั่วโลก ชวนทุกคนผจญภัยไปในโลกแห่งความเป็นไปได้ที่เหล่าผู้ครองอำนาจเผด็จการไม่พึงปรารถนา เพื่อพิสูจน์ว่ายังมีคนคนธรรมดาสามัญที่พร้อมสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ภายใต้สังคมที่อับจนสิ้นหวังนี้อย่างสร้างสรรค์ แสดงให้เห็นว่าพลังของพวกเรายิ่งใหญ่มากเพียงใดหากพวกเราไม่ยอมจำนนอีกต่อไป เราจะขยายเพดานทางความคิด ขยายขอบฟ้าความเป็นไปได้ในสังคมอับจนปัญญาที่ผู้มีอำนาจพยายามอย่างมากที่จะทำลายให้ขอบฟ้าความเป็นไปได้ของสังคมค่อยๆ มลายดับสิ้นไป
มากไปกว่านั้นเพื่อเป็นเชื้อมูลให้เมล็ดพันธุ์แห่งความก้าวหน้าและสถาปนาหลักการ “อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน” ให้ประชาชนเป็นผู้ทรงอำนาจอธิปไตยได้หยั่งรากลึกในสังคม อีกครั้ง
หวังว่าคอลัมน์ “ขอบฟ้าความเป็นไปได้” จะเป็นทรัพยากรทางวัฒนธรรมเพื่อการต่อต้าน (Cultural Resources of Resistance) ให้พวกเราประชาชนผู้ถูกดขี่ได้ใช้ทรัพยากรทางวัฒนธรรมเหล่านี้เป็นดั่งคู่มือและเครื่องมือต่อสู้กับความอยุติธรรมในสังคมจากผู้มีอำนาจ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย หากพวกเราไม่เป็นส่วนหนึ่งของมัน จงกล้าที่จะคิด ตั้งคำถามต่อผู้มีอำนาจและเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง!
ทำเท่าที่เราสามารถทำได้ ช่วยกันคนละไม้คนละมือเพื่อให้เมล็ดพันธุ์แห่งความก้าวหน้าหยั่งรากในสังคม สถาปนาให้ประชาชนเป็นผู้ทรงอำนาจอธิปไตยอีกครั้ง… หมดเวลาของพวกท่านแล้ว นับแต่นี้ต่อไปคือเวลาของพวกเรา ประชาชน !