เมื่อ (อดีต) พรรคอนาคตใหม่ประกาศสืบทอดเจตนารมณ์ของคณะราษฎรในการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 หลายท่านอาจนึกถึง ชื่อถนน อนุสาวรีย์ แบบเรียน หรืออุดมการณ์ประชาธิปไตย แต่มีสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นเจตนารมณ์สำคัญของการเปลี่ยนแปลงการปกครองคือ จินตนาการเรื่อง รัฐสวัสดิการ
ปรีดี พนมยงค์ หนึ่งในแกนนำคณะราษฎร เคยเสนอพระราชบัญญัติประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเค้าโครงเศรษฐกิจลือชื่อที่นำสู่การรัฐประหารครั้งแรกภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ยังมีข้อเขียนวิพากษ์จากฝั่งอนุรักษ์นิยม ว่าข้อเสนอรัฐสวัสดิการของปรีดี พนมยงค์เป็นข้อเสนอที่ไม่เหมาะสมกับสังคมไทยและไม่มีจำเป็นต่อประเทศไทย
เวลาผ่านจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เกือบ 90 ปีมาแล้ว ยิ่งประเทศไทยห่างไกลจากประชาธิปไตยเท่าไร ฝั่งเผด็จการอำนาจนิยมยิ่งผลิตซ้ำความคิด ‘สวัสดิการแนวสังคมสงเคราะห์’ ได้อย่างเหนียวแน่นมั่นคง ผ่านการจัดลำดับชั้นประชาชน ผ่านการจำแนกคนภายใต้คำว่าประสิทธิภาพและความจำเป็นที่อ้างว่าสวัสดิการไม่เพียงพอต่อประชาชนจนกระทั่งปัจจุบัน
วันนี้ผมชวนเรารำลึกว่าการปกครองภายใต้ฐานความคิดอนุรักษ์นิยม ได้ทำลายโอกาสการพัฒนารัฐสวัสดิการไปมากน้อยเพียงใด และปัจจุบันเครือข่ายอนุรักษ์นิยมที่ปฏิเสธรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าก็แผ่ขยายไปอย่างมากในทุกภาคส่วนของสังคมในการปฏิเสธแนวคิดรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า
1.หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปรีดี พนมยงค์ พยายามเสนอ ‘พระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร’ ซึ่งเป็นเอกสารแนบท้ายเค้าโครงเศรษฐกิจที่อธิบายถึงความจำเป็นที่ประชาชนต้องมีรัฐสวัสดิการในฐานะหลังพิง ซึ่งเขาได้เสนอแนวคิดที่ถือว่าล้ำหน้าในสมัยนั้นและเป็นที่พูดถึงกันมากในปัจจุบันในกลุ่มประเทศที่มีรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าคือ หลักคิดว่าด้วย ‘เงินเดือนพื้นฐานถ้วนหน้า’
ในข้อเสนอนี้พูดถึงการจ่ายเงินเดือนให้แก่ประชาชนเริ่มต้นเดือนละ 20 บาท หากเทียบแล้วคือ เดือนละประมาณ 4,000 บาทในปัจจุบัน การทักท้วงที่สำคัญของราชกาลที่ 7 เป็นจุดสำคัญต่อความขัดแย้งระหว่างฝั่งประชาธิปไตยและอนุรักษ์นิยม ซึ่งมีพระราชดำรัสว่า “ข้าพเจ้าขอกล่าวว่าราษฎรของเรา ตลอดจนชนชั้นคนขอทานยังมิได้ปรากฏเลยว่าอดตาย คนที่อดตายจะมีก็แต่คนที่กลืนไม่ลงเพราะความเจ็บไข้เท่านั้น แม้แต่สุนัขตามวัดก็ปรากฏยังไม่มีอดตาย “ ในความขัดแย้งนั้น ปรีดีจำต้องลดลทบาทลง รวมถึงข้อเสนอเรื่องรัฐสวัสดิการก็ถูกพูดถึงน้อยลง
2.หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นการแย่งชิงพื้นที่ทางการเมืองระหว่างฝั่งสังคมนิยม กองทัพและอนุรักษ์นิยม ซึ่งฝั่งสังคมนิยมนำโดย ส.ส.ของกลุ่ม ปรีดี พนมยงค์ มีการเปิดโอกาสให้นักการเมืองจากพื้นที่นอกเมืองหลวงมีโอกาสดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นักการเมืองจากจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และเป็นนักการเมืองคนสำคัญในการคัดค้านการเพิ่มงบประมาณกองทัพของ จอมพลป.พิบูลสงคราม โดยชี้ให้เห็นว่า การศึกษาและสาธารณสุขของประชาชนที่อยู่ห่างไกลเป็นสิ่งสำคัญกว่ากองทัพ ดังคำอภิปรายในสภาที่ระบุว่า
“เราจะเริ่มสร้างบ้านด้วยการสร้างรั้ว หรือว่าเราจะเริ่มสร้างบ้านด้วยการสร้างเสาเสียก่อน” ทองอินทร์ มีบทบาทสำคัญที่ทำให้ ควง อภัยวงศ์ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยการนำเสนอ ‘ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองค่าใช้จ่ายประชาชนในภาวะคับขัน’ ซึ่งมีสาระสำคัญในการควบคุมการค้ากำไรในสวัสดิการพื้นฐานของประชาชน ซึ่งทำให้นายควง ต้องลาออกจากการแพ้โหวต และกล่าวในเชิงเหยียดหยามว่าเขาต้องลาออกเพราะ ‘พ.ร.บ.ปักป้ายข้าวเหนียว’ อันสะท้อนถึงพื้นเพความเป็นคนอีสานของทองอินทร์
ภายหลัง ควง อภัยวงศ์ ได้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ โดยมี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นเลขาธิการพรรค ซึ่งกลายเป็นพรรคการเมืองที่ต่อต้านแนวคิดรัฐสวัสดิการและกระจายอำนาจรวมถึงเปิดทางให้ฝั่งอนุรักษ์นิยมและกองทัพมีอำนาจมากขึ้น จากเอกสารของรัฐสภา ได้มีการหารือ พ.ร.บ.ฉบับนี้อีกครั้ง ในเดือนพฤษภาคม 2489 ในสมัยปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกคัดค้านอย่างรุนแรงโดย คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่า พ.ร.บ.นี้มีลักษณะออกไปทางคอมมิวนิสต์ รัฐบาลปรีดีลาออกหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญวันที่ 7 มิถุนายน 2489 ก่อนกลับเข้าสู่ตำแหน่งอีกครั้งจากการเสนอของสภาผู้แทนราษฎร ก่อนที่จะลาออกอีกครั้งในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน จากการที่ถูกใส่ร้ายว่าเกี่ยวข้องกับคดีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 (เลียง ไชยกาล ส.ส.ประชาธิปัตย์รับสารภาพภายหลังว่าจ้างคนไปตะโกนในโรงหนัง) ส่วนทองอินทร์ ถูกลอบสังหารในคดีที่โหดเหี้ยมที่สุดคดีหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทยในปี 2492 ร่วมกับนักการเมืองฝั่งประชาธิปไตยอีกสามท่าน ไม่ปรากฎว่า พ.ร.บ.ฉบับที่เป็นต้นกำเนิดของพรรคประชาธิปัตย์นี้ถูกนำไปใช้หรือไม่ แต่ผลที่สำคัญคือกลุ่มทางการเมืองฝั่งซ้ายถูกปราบอย่างโหดเหี้ยม และนายทุน ขุนศึก ฝั่งอนุรักษ์นิยมก็มีอำนาจเพิ่มขึ้นจากการรัฐประหารปี 2490 และเป็นจุดเริ่มของความเหลื่อมล้ำที่ขยายตัวต่อเนื่องในประเทศไทยจนติดลำดับโลกในปัจจุบัน
3.ช่วงปีท้ายๆของ จอมพลป.พิบูลสงคราม ได้พยายามหันเข้าหาฝั่งประชาธิปไตยและขบวนการภาคประชาชน เพื่อลดแรงเสียดทานกับกลุ่มอนุรักษ์นิยมและกองทัพ ที่นำโดยสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี พ.ศ.2497 ได้มีการนำเสนอ ‘ร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม’ เพื่อสร้างหลักประกันให้แก่ผู้ใช้แรงงานทั่วไป ซึ่งมีการประกาศใช้ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2497 แต่ด้วยการรัฐประหารในปี 2500 โดยสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำให้พระราชบัญญัติฉบับนี้ไม่มีการบังคับใช้ โดยสฤษดิ์หันไปพัฒนาสวัสดิการให้กลุ่มข้าราชการเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์แทน และต้องรอมากกว่าสามสิบปีถึงจะสามารถสร้างหลักประกันให้แก่คนทำงานได้ ซึ่งหมายความว่ามีแรงงานที่เสียประโยชน์จากการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ล่าช้ากว่าครึ่งชั่วอายุคน หรือชั่วชีวิตการทำงาน และมีผู้เจ็บป่วย ล้มตายจากการทำงานทั้งโดยตรงโดยอ้อมอีกมหาศาล
สามเหตุการณ์ข้างต้นคือปฐมบทสำคัญของการต่อต้านการพัฒนารัฐสวัสดิการโดยกลุ่มอนุรักษ์นิยมร่วมกับ นายทุนและขุนศึก ในบทความหน้าเราจะดูภาคต่อจนกระทั่งถึงปัจจุบันว่า การต่อต้านของฝั่งอนุรักษ์นิยมส่งผลต่อการทำลายความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างไร
เอกสารเพิ่มเติม
เอกสารบันทึกอภิปรายสืบค้นจาก คลังสารสนเทศสถาบันนิติบัญญัติ http://dl.parliament.go.th/