ระหว่างวันที่ 19-20 พฤษภาคม ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้า ได้เป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมระดับนานาชาติของเครือข่ายประชาธิปไตยสังคมนิยมในเอเชีย หรือ Network for Social Democracy in Asia (SocDem Asia) ซึ่งเป็นองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของพรรคและกลุ่มการเมืองแนวสังคมนิยมประชาธิปไตย (Social Democracy) ที่ทั้งพรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้าเป็นสมาชิก โดยการประชุมในปีนี้ ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพในการต้อนรับเพื่อนของเราจากหลากหลายประเทศ ทั้งในประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เมียนมา รวมถึงในฝั่งยุโรปอย่างสวีเดน และฟินแลนด์ด้วย
ในโอกาสดังกล่าว ผมได้กล่าวต้อนรับเพื่อนของเราในหัวข้อ “Defending and Making Democracy in Asia is Our Progressive Task” (การสร้างและปกป้องประชาธิปไตยในเอเชียคือภารกิจร่วมของเรา) ซึ่งผมได้ยกกรณีตัวอย่างของสิ่งที่ประเทศไทยภายใต้รัฐบาลเผด็จการทหารได้กระทำและส่งผลต่อประชาคมนานาชาติ และเหตุใดการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในทุกที่จึงมีความสำคัญต่อทั้งประเทศไทยและประชาคมโลก ซึ่งผมขอโอกาสนี้นำเนื้อหาของสิ่งที่ผมได้กล่าวในวันนั้น มาเล่าสู่กันฟังต่อกับทุกท่าน
ผมได้ยกตัวอย่างถึงกรณีเมื่อปี 2015 ที่ชาวอุยกูร์ ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งในมณฑลซินเจียงของประเทศจีน ที่ลี้ภัยอยู่ในประเทศไทยเกือบร้อยชีวิตถูกรัฐบาลเผด็จการทหารของไทยส่งตัวกลับไปยังประเทศจีน ท่ามกลางเสียงเตือนและคัดค้านของประชาคมระหว่างประเทศ และท่ามกลางหลักฐานที่บ่งชี้ชัดว่าชาวอุยกูร์ที่ถูกจับเข้า “ค่ายอบรม” (re-education camp) โดยรัฐบาลจีนกว่าล้านชีวิต รวมทั้งที่ถูกจำคุกกว่าอีกแสนชีวิต ต่างถูกใช้แรงงานบังคับ มีการล่วงละเมิดทางเพศสตรี และซ้อมทรมาน ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ชาวอุยกูร์เหล่านี้ต้องลี้ภัยออกมา โดยหนึ่งในที่ที่พวกเขาหวังมาอาศัยพึ่งพิงก็คือประเทศไทย
แต่ท่ามกลางการประณามของประชาคมโลกว่านี่คือการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง รัฐบาลไทยภายใต้เผด็จการทหารในเวลานั้น กลับยังคงดึงดันที่จะส่งชาวอุยกูร์เกือบร้อยชีวิตเหล่านี้กลับไปเผชิญชะตากรรมที่ประเทศจีน ซึ่งมีทั้งการซ้อมทรมานและบังคับให้สูญหาย
ขณะเดียวกัน สถานการณ์การลุกขึ้นสู้ต่อต้านรัฐประหารในเมียนมาในปี 2021 นำไปสู่การสลายการชุมนุมและปราบปรามอย่างรุนแรง จนมีชาวเมียนมาอย่างน้อย 1,791 ชีวิตต้องเสียชีวิต และอีกกว่า 9,984 คนถูกจับกุมจากการต่อต้านรัฐประหาร
การต่อต้านรัฐประหารที่ขยายตัวไปยังเมืองใหญ่หลายๆ เมือง รวมทั้งการปะทะกันระหว่างกองกำลังชาติพันธุ์และกองทัพเมียนมา นำมาซึ่งคลื่นผู้ลี้ภัย โดยเฉพาะชาวกะเหรี่ยงจำนวนมหาศาลที่พยายามข้ามฟากมาหาที่พึ่งพิงชั่วคราวที่ฝั่งไทย ตามแนวแม่น้ำเมยและแม่น้ำสาละวิน พวกเขาเพียงต้องการสันติภาพ ความปลอดภัย และที่พักพิงชั่วคราว
สิ่งที่รัฐบาลไทยทำคือการผลักดันผู้ลี้ภัยเหล่านี้กลับไปเผชิญความตาย มีหลักฐานที่บ่งชี้ให้เห็นได้ชัด ว่ามีการทำลายสะพานไม้ข้ามแม่น้ำที่ผู้ลี้ภัยใช้ในการข้ามฟาก (แน่นอน กองทัพปฏิเสธว่านี่คือ “ข่าวปลอม” เป็นเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2021 ในการทำลายสะพานที่ใช้ขนย้ายสินค้าผิดกฎหมาย แต่ดิจิทัลฟุตปรินท์และพยานหลักฐานในพื้นที่ชี้ให้เห็นอีกข้อเท็จจริงหนึ่ง ว่านี่คือเหตุการณ์ทำลายสะพานข้ามฟากของผู้ลี้ภัยที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม 2022 นี่เอง)
รัฐบาลไทยยังสกัดขัดขวางไม่ให้องค์กรระหว่างประเทศเข้าให้การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยจากเมียนมา ไม่ว่าจะเป็นการตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว หรือการส่งอาหาร น้ำสะอาด และโภคภัณฑ์ที่มีความจำเป็นข้ามฟากไปช่วยเหลือผู้ลี้ภัยสงคราม ในทางกลับกัน กองทัพไทยกลับส่งเสบียงจำนวนมากข้ามฟากไปให้กับกองทัพเมียนมา ที่กำลังเข่นฆ่าทำล้างชีวิตประชาชนอยู่
ผู้ลี้ภัยที่มีทั้งคนชรา ผู้หญิง เด็กอ่อน และผู้บาดเจ็บ ต้องอาศัยอยู่ตามชายป่าโดยไม่มีหลังคาคลุมหัว ขาดยา อาหาร น้ำสะอาด ฤดูฝนที่มาถึงทำให้สถานการณ์ยิ่งยากลำบากสำหรับพวกเขา
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร? อย่างที่ผู้นำรัฐบาลเผด็จการทหารเมียนมา มินอ่องหล่ายน์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้กับสำนักข่าวนิคเคอิ ระบุชัดเจนว่าที่เขามีความมั่นใจในการก่อการรัฐประหาร ก็เพราะการมี พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้นำรัฐบาลในฝั่งไทย และที่ผ่านมาก็เป็นที่ประจักษ์ชัด ว่ารัฐบาลไทยให้การสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการทหารเมียนมาทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งในการปกครอง ปราบปราม และเข่นฆ่าประชาชน
หากประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย การปฏิบัติที่ละเมิดต่อข้อตกลงระหว่างประเทศและไร้ซึ่งมนุษยธรรมอย่างร้ายแรงต่อทั้งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์และชาวเมียนมาจะไม่เกิดขึ้น แต่เพราะประเทศไทยจากวันที่เราอยู่ภายใต้เผด็จการทหารมาจนเป็นรัฐบาลสืบทอดอำนาจวันนี้ เรื่องราวเลวร้ายที่เรากระทำต่อผู้ลี้ภัยจึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวมถึงการที่เผด็จการทหารสามารถทำรัฐประหารและปกครองบ้านเมืองในประเทศเพื่อนบ้านของเราได้ด้วย
ผมยังได้เล่าถึงกรณีของซาเวียร์ กุสโต ชาวสวิตเซอร์แลนด์ ผู้เปิดโปงกรณี 1MDB (One Malaysia Development Berhad) โครงการในประเทศมาเลเซียที่มีการยักยอกเงินภาษีจากประชาชนไปจำนวนมหาศาล เต็มไปด้วยการทุจริต ติดสินบน การใช้อำนาจโดยมิชอบ และการฟอกเงิน กล่าวกันว่านี่คือการยักยอกเงินในระดับระหว่างประเทศที่ใหญ่ที่สุด ที่เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลนาจิบ ราซัก
ในปี 2015 นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัก ถูกตั้งข้อกล่าวหายักยอกเงินกว่า 2.67 พันล้านริงกิต หรือประมาณ 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้าบัญชีธนาคารของตัวเอง ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการ 1MDB โดยตรง จนนำไปสู่การถูกโค่นอำนาจของนาจิบในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2018
แต่สำหรับซาเวียร์ ผู้ซึ่งลี้ภัยมายังประเทศไทยในปี 2013 เขากลับถูกรัฐบาลไทยจับกุม ระหว่างถูกควบคุมตัว รัฐบาลไทยโน้มน้าวให้เขาให้ปากคำว่ากรณีที่เขาเปิดโปงการทุจริตของน้าจิบเป็นเรื่องหลอกลวง เขาถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำโดยไม่มีใครเข้าเยี่ยมได้ และในที่สุดก็ถูกพิพากษาให้ต้องโทษจำคุกในเรือนจำของประเทศไทย หลังพ้นโทษแล้วเขายังถูกประกาศให้เป็นบุคคลต้องห้าม (persona non grata) ไม่สามารถเข้าประเทศไทยได้อีกต่อไปด้วย
แต่ขณะเดียวกัน จัสมิน ลู หนึ่งในผู้มีส่วนร่วมกับการทุจริต 1MDB และคนสนิทของโจ โลว นักการเงินผู้เป็นหัวโจกเบื้องหลังการทุจริตครั้งนี้ ที่มีรายชื่อในบัญชีแดงของตำรวจสากล กลับสามารถเดินทางเข้าออกประเทศไทยได้ถึง 36 ครั้งระหว่างปี 2018-2019 และเมื่อหมายจับของเธอได้รับการเผยแพร่ออกสู่สาธารณะ ปรากฏว่าฐานข้อมูลการเข้าออกเมืองของเธอในประเทศไทยกลับถูกลบทิ้ง ก่อนที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจะปล่อยให้จัสมินบินออกจากประเทศโดยไม่ไม่มีการแจ้งตำรวจสากล และยังคงติดตามตัวไม่ได้จนถึงทุกวันนี้
จึงสันนิษฐานได้ว่ารัฐบาลเผด็จการของไทยรู้เห็นเป็นใจและให้ความช่วยเหลือ ในการปกปิดขบวนการทุจริตของอดีตรัฐบาลอำนาจนิยมในมาเลเซีย ที่ซึ่งภาษีจากประชาชนชาวมาเลเซียกว่า 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐถูกปล้นไป นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตย ชนชั้นนำในประเทศไทยร่วมมือเกื้อกูลให้กับชนชั้นนำในประเทศมาเลเซียที่ปล้นเงินประชาชนหลบรอดหนีความยุติธรรมไปได้อย่างหน้าตาเฉย
ตัดภาพมาที่แม่น้ำโขงแม่น้ำที่ยาวที่สุดเป็นอันดับสามของเอเชีย ไหลผ่านประเทศจีน เมียนมา ลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม เป็นแหล่งทำมาหากินของประชากรกว่า 60 ล้านคนและแหล่งพันธุ์ปลากว่า 1,000 ชนิด วันนี้กำลังถูกคุกคามจากการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่โดยรัฐบาลจีน
ในปี 2019 มีรายงานว่าระดับน้ำในแม่น้ำโขงอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดในรอบ 100 ปี เป็นผลโดยตรงมาจากเขื่อนกว่า 11 เขื่อนที่ต้นน้ำในประเทศจีน ที่ควบคุมการไหลของกระแสน้ำแบบไม่สนใจปลายน้ำ จนแม่น้ำโขงในประเทศอาเซียนลดระดับลงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
การแก้ปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศในหมู่ประเทศอาเซียน สร้างอำนาจต่อรองเพื่อนำไปสู่การเจรจากับรัฐบาลจีน
แต่หลังจากการรัฐประหารในปี 2014 รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์กลับหันมาพึ่งพาประเทศจีนมากขึ้นในทุกด้านในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา ทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูง การจัดซื้อเรือดำน้ำ การลงทุนในโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวกับ Belt and Road Initiative ในประเทศไทย และการจัดซื้ออาวุธในปริมาณที่เพิ่มขึ้นจากจีน การพึ่งพาอย่างไม่สมดุลนี้ ทำให้ประเทศไทยไม่มีสถานะอันใดเลยที่จะนำไปสู่การเจรจาต่อรองเรื่องแม่น้ำโขงระหว่างประเทศไทยและประเทศจีนได้
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อประเทศไทยไม่มีประชาธิปไตย ผลประโยชน์ของประชาชนในประเทศ รวมทั้งของประชาชนในประเทศเพื่อนบ้านของเรารอบแม่น้ำโขง ย่อมอยู่ด้อยกว่าผลประโยชน์ของชนชั้นนำไทยที่หวังการยอมรับในเวทีโลก จนพร้อมยกทุกอย่างในประเทศให้เสมอ
ผมยังได้เล่าเรื่องของ ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ ผู้ถูกคุมขังในเรือนจำจากข้อหามาตรา 112 โดยไม่ได้รับสิทธิการประกันตัว และได้ประท้วงความอยุติธรรมด้วยการอดอาหารในเรือนจำมาเป็นเวลากว่า 30 วันแล้ว เพียงเพราะเธอตั้งคำถามกับสถาบันกษัตริย์ ผมยังเล่าว่าเธอเป็นเพียงหนึ่งในผู้ต้องหาคดีการเมืองกว่า 2,017 คน ของประเทศไทยในเวลานี้ ซึ่งจำนวนมากเป็นเพียงเยาวชนที่ถูกขโมยอนาคตไปและต้องการทวงมันคืนกลับมา
จากทั้งหมดที่ผมเล่าให้เพื่อนจากต่างประเทศของเราฟัง นำไปสู่ข้อสรุปที่ว่าเมื่อประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตย ผลกระทบไม่ได้เกิดขึ้นแต่กับเพียงประชาชนคนไทยเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นกับประชาคมโลกด้วย และนี่คือเหตุผลว่าทำไมการเรียกร้องประชาธิปไตยในระดับสากลไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ตามล้วนมีความสำคัญและเป็นภารกิจร่วมกันของพวกเรา
สุดท้ายผมได้ทิ้งท้ายการกล่าวต้อนรับเพื่อนจากต่างประเทศของเราด้วยคำพูดของ เอลี วีเซล นักกิจกรรมทางการเมือง นักเขียน และผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวยิวโดยนาซี ที่เคยกล่าวไว้ว่า
“เราต้องเลือกข้าง ความเป็นกลางและการเลือกที่จะเฉยเมย คือการสนับสนุนผู้กดขี่ให้ก่อทุกข์เข็ญต่อผู้ถูกกดขี่เสมอ”