เช้าวันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม 2553 หรือ 10 ปีก่อน ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ภาพถ่ายมุมสูงที่เขาเป็นผู้ถ่ายลงมาเองจากห้องพักบนตึกริมถนนย่านราชปรารภ ภาพของประชาชนคนธรรมดาที่นอนระเกะระกะอยู่บนพื้นทางเท้าอันปูด้วยกระเบื้องซีเมนต์เปรอะเปื้อน
ในภาพต่อๆ มาแสดงให้เห็นการเคลื่อนและถูกเคลื่อนออกไปของทั้งร่างที่ยังมีและไร้ชีวิตเหล่านั้น ท่ามกลางความเสี่ยงที่อาจจะถูกกระสุนซ้ำหรืออาจได้เปลี่ยนสถานะจากผู้เข้ามาช่วยเหลือเป็นเหยื่ออีกคน และอีกคน
ที่สุดแล้วจึงคงไว้แต่ร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งในชุดเสื้อยืดคอกลมสีน้ำเงิน-ขาว กับกางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะที่ยังคงติดเท้าค้างอยู่อย่างนั้น แม้เจ้าของจะไม่มีวันกลับมาลุกขึ้นยืนและใช้งานมันได้อีกแล้ว เขานอนหงาย ใบหน้าเบี่ยงหันมาทางทิศของกล้อง มีสายน้ำสีเข้มไหลจากใต้ศีรษะของเขานองลงไปบนพื้นซีเมนต์และไหลต่อไปจนจรดขอบทางเท้า คดเคี้ยวยาวเหยียดยิ่งกว่าความสูงของตัวเขาเองเสียอีก
ในชั่วโมงแรกๆ รูปนั้นเป็นเพียงผู้โชคร้าย “ใครก็ไม่รู้” แต่ด้วยรูปร่าง การแต่งตัว และสำคัญที่สุดคือใบหน้าที่หันเข้าหาเลนส์กล้อง ไม่นานนักเพื่อนกลุ่มเล็กๆ ในเฟซบุ๊กก็เริ่มจดจำได้ว่า นั่นคือ สมาพันธ์ ศรีเทพ หรือ เฌอ เด็กหนุ่มอายุเพียง 17 ปี ลูกชายคนเดียวของ พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ นักกิจกรรม เพื่อนในเฟรนด์ลิสต์และในชีวิตจริง
ระหว่างที่ข่าวร้ายรู้ไปถึงพ่อแม่และทั้งคู่กำลังหาทางจะเข้าไปให้ถึงตัวลูกชาย มีประชาชนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในบริเวณนั้นอยู่แล้วเสี่ยงเข้าไปหามร่างของเฌอเพื่อจะพาออกมาด้วยความหวังว่าจะยังสามารถกู้ชีวิตคืนมาได้ พวกเขาใช้ลำไม้ไผ่ที่มีลักษณะคล้ายบันไดพาดแบบเก่าสอดใต้ร่างเด็กหนุ่มต่างเปลหาม ช่วยกันยกขึ้นข้างละหลายคนแล้วเคลื่อนตัวอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ออกจากพื้นที่เกิดเหตุเพื่อหวังส่งคนเจ็บให้ถึงรถกู้ชีพที่เข้ามาจอดรอรับเหยื่อกระสุนในซอยแยกห่างออกไป
แต่แล้วเมื่อปรากฏว่ารถคันดังกล่าวขนคนเจ็บก่อนหน้าเดินทางออกไปแล้วและคันใหม่ยังมาไม่ถึง เสียงตะโกนเรียกหาเปลหามของชายคนหนึ่งที่ร่วมแบกเฌอออกมาด้วยจึงเต็มไปด้วยความเร่งเร้าเจ็บปวดด้วยกลัวว่าจะไม่ทันเวลา
ความเจ็บปวดทวียิ่งขึ้นไปอีกเมื่อในที่สุดแล้วทั้งหมดรู้ว่าไม่เหลือสัญญาณชีวิตอยู่ในร่างที่เพิ่งช่วยกันหามออกมานั้นอีกแล้ว ความโกรธแค้นต่อผู้มีอำนาจสั่งการสลายชุมนุมกลั่นออกมาเป็นถ้อยสบถด่าทอ พลางเรียกหาสื่อและช่างภาพที่ตามถ่ายทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวมาตั้งแต่เริ่มเคลื่อนย้ายให้เข้ามาบันทึกภาพเฌอไว้
นั่นกลายเป็นส่วนหนึ่งของบันทึกประวัติศาสตร์ 10 ปีสังหารประชาชนในวันนี้
ในคลิปยาวต่อเนื่องของบันทึกนั้น มีเสียงบอกกันให้ช่วยปิดตาเฌอ ภาพปรากฏชายคนหนึ่งสนองตอบคำขอ ยื่นมือแตะเปลือกตาทั้งสองของเด็กหนุ่มนิ่งอยู่เป็นครู่จนปิดลงสนิท – – อย่างน้อยที่สุด ณ เวลาที่ถนนกลางกรุงกลายเป็นทุ่งสังหารอันเหี้ยมโหด เขาจะได้หลับลงอย่างสงบเป็นครั้งสุดท้าย ทิ้งสังคมที่ปลูกสร้างอยู่บนความไม่เห็นหัวประชาชนไว้เบื้องหลัง
ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นเพียง 4 วัน 11 พฤษภาคม เป็นอีกครั้งที่เฌอตามพ่อแม่ไปร่วมกิจกรรมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเนื่องในโอกาสครบรอบเดือนของเหตุปะทะวันที่ 10เมษายนที่เพิ่งผ่านซึ่งมีทั้งผู้บาดเจ็บและล้มตายจำนวนไม่น้อย “ถ้าไม่มาเห็นก็ไม่รู้หรอก” เขาบอกใครๆ อย่างนั้นหลังจากได้ดูคลิปวิดีโอประกอบคำบอกเล่าของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ “ถ้าอยากรู้ ต้องมาดูว่าจริงๆ แล้วมันคืออะไร” เขายังบอกพ่อกับแม่ว่าสิ่งที่ได้เห็นได้ฟัง มันต่างกันมากกับสิ่งที่ข่าวทีวีกระแสหลักในขณะนั้นพยายามจะบอก
สมาพันธ์ หรือ เฌอ ไม่ได้เป็นผู้ชุมนุมเสื้อแดง เขาเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ตามความคุ้นชินที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมและการเมืองกับพ่อและแม่ พันธ์ศักดิ์และสุมาพร ศรีเทพ มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก นั่นทำให้เขามักจะมีคำถามเสมอกับสังคมทันใดที่เห็นความไม่เป็นธรรม
บางคนถามพันธ์ศักดิ์ขณะนั้นว่า “ทำไมถึงอนุญาตให้ลูกออกไป” เขาตอบอย่างจริงใจ “เราไม่ได้อนุญาตให้เขาไป แต่การที่สอนเขามาให้เรียนรู้ ให้เขาได้ร่วมกิจกรรม นั่นคือการอนุญาตโดยที่นึกไม่ถึงว่าความรุนแรงเป็นเรื่องใกล้ตัวขนาดนั้น”
มีบางคนเล่าว่าเฌอแวะเข้ามาดูเหตุการณ์ และมาช่วยวางแนวยางป้องกันกระสุนให้กับประชาชนตั้งแต่คืนวันที่ 14 มีผู้ถูกยิงเสียชีวิตในบริเวณนั้นหลายคนรวมถึงเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพวชิรพยาบาลซึ่งอยู่ในหน้าที่ มีผู้พยายามเข้าไปช่วยก็ถูกยิงเสียชีวิตตามไปด้วย เฌอออกจากพื้นที่ไม่ได้เนื่องมาจากการซุ่มยิงหนาแน่นที่ว่านั้น และในที่สุดเขาเองก็กลายเป็นหนึ่งในเหยื่อกระสุนเมื่อเช้ารุ่งขึ้นมาถึง
มีข้อสันนิษฐานว่าเฌอน่าจะถูกยิงตั้งแต่ช่วงเช้า เขาต้องนอนอยู่ในกองเลือดตัวเองโดยไม่มีใครกล้าฝ่าคมกระสุนเข้าไปช่วยเหลือจนกระทั่งหมดลมหายใจในราว 08.30-09.00 น.
จากการชันสูตร สมาพันธ์ถูกยิงเข้าที่ด้านหลังศีรษะด้วยกระสุนลูกโดด เนื้อสมองฉีกขาด
คำวินิจฉัยของศาลในการไต่สวนการตายของพลเรือนไล่ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน จนถึง 19พฤษภาคม 2553 มีอย่างน้อย 12 คำวินิจฉัยที่ระบุว่าผู้ตาย “เสียชีวิตจากกระสุนที่มาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติการอยู่” ในจำนวนนี้มีอย่างน้อย 4 คำวินิจฉัยที่ระบุชัดลงไปอีกว่า “เสียชีวิตจากกระสุนของเจ้าหน้าที่ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่”
จากรายงานของ ศปช. ระหว่างเหตุการณ์ความขัดแย้งรุนแรง มีการโฆษณาชวนเชื่อ ให้ข้อมูลที่บิดเบือนทั้งกับการสื่อสารภายในหน่วยงานรัฐ และสื่อมวลชน เช่น การแถลงข่าวของ ศอฉ. ที่ปฏิเสธการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมบริเวณถนนราชปรารภ
ทุกปี พ่อแม่รวมทั้งเพื่อนที่ใกล้ชิดจำนวนหนึ่งจะไปเยี่ยมจุดเกิดเหตุบนทางเท้าใกล้ราชปรารภ18 เพื่อจุดเทียนรำลึก
ณ ที่นั้นมี ‘หมุดเฌอ’ แผ่นโลหะตัดเท่าขนาดกระเบื้องปูพื้นทางเท้าตรึงไว้แนบแน่น บนแผ่นหมุดมีรูปเหมือนของเขาปรากฏพร้อมข้อความกำกับว่า
“Cher laid down his life here. 15.05.2010 เฌอถูกทหารยิงเสียชีวิตที่นี่”
เมื่อเวลาผ่าน มีบางคำพูดที่ชอบบอกว่า พฤษภา 53 นั้นถ้าไม่ออกจากบ้านก็คงไม่ต้องมาตาย พ่อของเฌอ พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ เคยตอบกลับคำกล่าวนั้นว่า “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ใครออกมาแล้วถูกยิงตาย แต่มันอยู่ที่ ทำไมประชาชนธรรมดาออกมาแล้วถึงถูกยิงตายกลางถนน”