มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่อง “สุขาภิบาล” โดยเฉพาะกรณีของ “สุขาภิบาลท่าฉลอม” จ.สมุทรสาคร ว่าเป็นปฐมบทแห่งการปกครองท้องถิ่นไทย
นั่นเป็นเพราะเรื่อง “สุขาภิบาล” ไม่ใช่เรื่องของการกระจายอำนาจการปกครอง หากแต่เป็นเรื่องของการสาธารณสุขในยุคสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดังนั้น วันที่ 18 มีนาคม 2448 ที่เป็นวันก่อตั้ง“สุขาภิบาลท่าฉลอม” และถูกยกให้เป็น “วันท้องถิ่นไทย” จึงเป็นเรื่องผิดฝาผิดตัวอย่างมาก
ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่มีทางกระจายอำนาจการปกครอง มีแต่จะรวบอำนาจการปกครองเข้าสู่ส่วนกลาง ดังที่เกิดขึ้น
ทราบข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีแนวคิดที่จะจัดงาน “ทำบุญประเทศ” ก็คิดถึงกรณีนี้ขึ้นมา ซึ่งเหมือนว่าจะเป็นคนละเรื่องกับ “สุขาภิบาล” แต่ทว่าเมื่อไปดูในรายละเอียดแล้ว กลับเกี่ยวโยงกันเป็นอย่างยิ่ง
นั่นเพราะในสังคมสยามยุคจารีต ก่อนจะรู้จักการแพทย์และวิทยาการตะวันตก วิธีการจัดการโรคระบาดและความเจ็บป่วยนั้นจะใช้พิธีกรรมทางศาสนาที่เรียก “พระราชพิธีอาพาธพินาศ”
พิธีนี้จัดครั้งสุดท้ายสมัยรัชกาลที่ 2 ช่วงที่มีอหิวาตกโรคระบาด โดยมีพระสงฆ์ตั้งพิธีสวดอาฏานาฏยสูตร ซึ่งก็คือการสวดภาณยักษ์ มีการอัญเชิญพระแก้วมรกต และพระบรมธาตุออกตั้งบูชา พระราชาคณะออกแห่โปรยปรายประน้ำมนต์ปริตรทั้งทางบกทางเรือ และให้ยิงปืนใหญ่รอบพระนครตลอดคืน
รวมทั้งให้ราชสำนักถือศีลสร้างบุญและทำทานด้วยการซื้อปลาและสัตว์ต่างๆ ที่จะถูกฆ่าตามท้องตลาดมาปล่อย
นี่คือในระดับชนชั้นนำ ส่วนในระดับราษฎรทั่วไปก็แล้วแต่บุญแต่กรรม ยกให้เป็นเรื่อง “ยถากรรม” ตาย หนีหาย หลบเข้าป่าไปก็มาก
พระราชพิธีอาพาธพินาศ ยกเลิกในสมัย ร.5 เมื่อครั้งที่ต้องรับมือกับการแพร่ระบาดของอหิวาตกโรคในปี พ.ศ.2416 โดยใช้การแพทย์สมัยใหม่ และทรงพิจารณาว่า ในการจัดพิธีคราวก่อนครั้งนั้น มีประชาชนที่ร่วมแห่พระพุทธรูป พระสงฆ์ที่ร่วมพิธีกรรม ติดโรคตายเป็นจำนวนมาก จึงไม่น่าจะใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้องแต่อย่างใด
นั่นเป็นช่วงเดียวกับที่ความเชื่อที่ว่า “ภูตผี” ทำให้เกิดโรคเริ่มคลี่คลาย เนื่องจากการเข้ามาของคณะมิชชันนารีสอนศาสนาที่มาพร้อมกับการแพทย์ตะวันตก ทำให้เกิดทฤษฎีใหม่เรื่อง “อายพิศม์” หรือ“ไอพิษ” ที่เชื่อว่า การหมักหมม การเหม็นเน่า ทำให้ร่างกายเจ็บปวดเมื่อได้รับไอพิษนั้น
เหล่านี้มาจากการสังเกต แหล่งกำเนิดที่สกปรก มีกลิ่นเหม็น แออัด จะมีอัตราการตายของผู้คนเยอะกว่าที่สะอาด อากาศบริสุทธ์ และเหตุนี้เองจึงทำให้บรรดาเจ้านายนิยมไปสร้างพระราชฐานตากอากาศที่ชายทะเล
กิจการ “สุขาภิบาล” ถูกตั้งขึ้นมาในปี พ.ศ. 2440 เพื่อจัดการเรื่องของเสีย น้ำเสีย ขยะ สิ่งปฏิกูล และทุกอย่างที่หมักหมมให้เหม็นเน่าจนเป็นต้นเหตุให้เกิด “ไอพิษ” ที่จะทำให้คนเจ็บป่วย
และการกระจาย “สุขาภิบาล” ไปสู่ต่างจังหวัดอย่าง “สุขาภิบาลท่าฉลอม” จ.สมุทรสาคร ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ.2448 ก็ด้วยเหตุแห่งความสะอาดเช่นกัน ไม่ใช่เรื่องของ “การปกครอง”
“พระราชบัญญัติจัดการศุขาภิบาล ตามหัวเมือง ร.ศ.127” (พ.ศ.2451) ก็ระบุชัด ว่าการต่างๆ นั้นได้แก่ รักษาความสะอาด ป้องกันและรักษาความไข้เจ็บ และบำรุงรักษาทางไปมา
ยิ่งเมื่อไปดูในส่วนของ “พนักงานสำหรับจัดการศุขาภิบาล” ซึ่งมีคณะกรรมการ 9 คน ก็ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ซึ่งได้แก่ 1.ผู้ว่าราชการเมือง เป็นประธานโดยตำแหน่ง 2.ปลัดเมืองฝ่ายสุขาภิบาล, 3.นายอำเภอท้องที่, 4.นายแพทย์สุขาภิบาล, 5.นายช่างสุขาภิบาล และ 6-9 คือกำนันในเขตสุขาภิบาลนั้น ถ้าเขตไหนมีกำนันไม่ถึง 4 คนก็ให้ข้าหลวงเทศาภิบาลมีอำนาจเลือก
ทั้งหมดนี้ไม่ต่างอะไรกับการที่ “ส่วนกลาง” มาตั้ง สาธารณสุขหรืออนามัยจังหวัด ส่วนคนจากส่วนกลางเข้ามา ไม่ใช่คนในพื้นที่ ไม่ได้มีมิติของการปกครองแต่อย่างใด จึงไม่เข้าข่ายเรื่องของการกระจายอำนาจอะไรเลย
วันนี้ แม้ทฤษฎีเรื่อง “อายพิศม์” หรือ “ไอพิษ” จะถูกแทนที่ด้วยทฤษฏี “เชื้อโรค” ภายหลังจากที่หลุยส์ ปาสเตอร์ ค้นพบเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดการหมักหมมเน่าเปื่อย และพัฒนาการค้นพบเรื่อยมาจนเกิดเป็น “วัคซีน” ที่ใช้ในป้องกันโรคต่างๆ
แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่า ยังจะมีนายกรัฐมนตรีที่จะพาประเทศไทยย้อนกลับไปสู่ยุคจารีต ด้วยการจัดให้มีพิธีทำบุญประเทศ ที่ดูไปแล้วก็จะคล้ายๆ กับพระราชพิธีอาพาธพินาศ ซึ่งยกเลิกไปเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว
ไม่น่าเชื่อจริงๆ
______
อ่านเพิ่มเติม : หนังสือ “จากปีศาจสู่เชื้อโรค ประวัติศาสตร์ารแพทย์กับโรคระบาดในสังคมไทย” โดย ชาติชาย มุกสง อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ